วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลัดดา ขายรถ

รถยนต์ที่หลายคนบอกว่า มันคือปัจจัย ที่ 5 สำหรับการดำรงชีวิต ของคนยุคปัจจุบัน

ฉันเห็นลัดดานั่งเศร้า หลังจากที่ได้ยินเธอบ่นมาหลายวันแล้ว "ฉันจำเป็นต้องขายรถแล้ว น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน รถของฉันก็ค่อนข้างเก่ามากแล้ว กินน้ำมัน ช่วงล่างช่างบอกว่าต้องซ่อมเปลี่ยนอุปกรณ์หลายอย่าง และฉันก็คงไม่มีเงินพอที่จะซื้อใหม่ หรือถ้าจะซื้อใหม่ก็ต้องนำไปแลกเป็นเงินดาวน์ และก็ต้องผ่อนต่ออีก อย่างน้อยก็ 3-5 ปี เป็นเงินหลักหมื่นต่อเดือน  โธ่ ..นี่ฉันต้องขายมันไปหรือนี่.... ฯลฯ "

นี่ละมัง ที่เป็นสาเหตุที่วันนี้เธอนั่งเศร้า และวันรุ่งขึ้นเธอก็ลาพักผ่อน 1 วัน..
วันนี้เป็นวันที่เธอกลับมาทำงาน และก็นั่งเศร้าให้ฉันเห็นอีก...

ลัดดา เป็นอย่างไร ขายรถแล้วหรือ..ฉันตัดสินใจถามหล่อน หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันกลับมา  หล่อนหันมาตอบพร้อมตาแดง น้ำตาไหล "ขายแล้วค่ะ  เมือวาน ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว..."
ไม่เสียดายมันหรือ"  ฉันถาม เพียงประโยคนี้เท่านั้น หล่อนก็ร่ำไห้ เสียงเคลือ  "เสียดายมาก
เขาเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิต เป็นเพื่อนคู่ยาก ไปไหนไปกัน เขาไม่งองแง ไม่เคยทำให้อับอาย ไม่ทำให้ลำบากในที่คับขัน ไม่เกเร....แม้บางทีฉันดูแลเขาไม่ดี เขาก็ไม่โกรธ ฉันไม่พาเขาไปอาบน้ำ เขาก็ไม่โกรธ เขาพาฉันเที่ยวไปทั่ว  ฉันเคยพาเขาตกถนนพังยับเกือบทั้งคัน เขายังไม่ยอมให้ฉันต้องบาดเจ็บ
เขายอมเจ็บตัวเอง  ใคร ๆ มาเห็นสภาพเขาขณะนั้น ไม่มีใครคิดหรอกว่า ฉันจะรอดตาย แต่ตัวเขาเองต้องเข้าโรงซ่อม นานเป็นเดือน  แม้กระทั่งเหตุการณ์ผ่านไป เขาก็ประคับประคองฉัน ฉันไม่เคยได้รับผลกระทบอะไรจากการบาดเจ็บของเขาเลย  จริงอยู่เขาสูญเสียการทรงตัวไปบ้าง แต่เขาก็อยู่กับฉันตลอด ร่างกายภายในของเขา ที่นั่งเบาะ เขายังสวยงามอยู่มาก  ทั้งเครื่องเสียง ลำโพง 4 ตัว ยังสวยงามเหมือนใหม่เสมอ ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ฉันได้อยู่กับเขา....."  แล้วหล่อนก็ร้องไห้โฮ...

ฉันอึ้งไปชั่วขณะ  ตื้นตันไปหมดจากคำพูดและกิริยา ที่หล่อนทำ "ไม่เคยต้องซ่อมอะไร  มีบางตัวก็เสื่อมบ้างตามสภาพ แต่เขาไม่เคยเกเรอะไรกับฉันเลย  ฉันต้องดูแลเขาบ้างจึงพาเขาไปเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เสื่อม ถ้าเขาป่วย เขาจะพาฉันให้ถึงที่พักก่อนเสมอ  และเขาก็ป่วยเพียงเล็กน้อย  ฉันไม่เคยต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรให้เขามากมายเลย ฉันไม่ดีเอง ที่ฉันไม่ดูแลเขา จึงทำให้เขาป่วยบ้าง แต่เขาก็ทนจนถึงที่สุดจึงป่วยสักหน  ถึงแม้ว่าเขาเริ่มมีอายุมาก เขาก็ไม่กินน้ำมันอะไรมากเกินไป.....ฉันไม่ดีเอง ทำไมฉันจึงคิดว่าจะขายเขานะ  เพราะอะไรเนี่ย...."  ลัดดาหันมามองทางฉัน...

ฉันไม่พูดว่าอะไรสักคำ มองหล่อนด้วยสายตา และตอบคำถามหล่อนว่า " ฉันเข้าใจ... ฉันเข้าใจ..."
รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาค้ำอยู่ที่ลำคอ มันตื่นตันไปหมด  อยากจะบอกลัดดาว่า  "ฉันก็เคยเป็นเช่นนี้
วันแรกที่ฉันขายรถที่ฉันรักมาก  ฉันมีอาการเดียวกับหล่อนเลย  มองรถของฉันจากไปกับคนซื้อคนใหม่
ขับออกไป  ห่างไป  ห่างไป จนลับสายตา  และฉันก็เดินน้ำตาไหลริน  .....ขอบใจนายมากนะ ที่นายเป็นเพื่อนฉัน อยู่กับฉันอย่างมิตรแท้ แม้นายจะไม่มีชีวิต  แต่นายก็เคยมีวิธีทางร่วมกับชีวิตฉัน มานาน.ถ้าฉันพร้อมทางเศรษฐกิจ พร้อมที่จะให้นายอยู่  ฉันจะเก็บนายไว้แม้นายจะไม่สามารถรับใช้ฉันได้แล้ว ฉันก็จะเก็บนายไว้ตลอดไป ......... .ฉันจะคิดถึงนาย และคิดถึงตลอดไป...ลูกอ๊อด ของฉัน

จะมีอะไรมากไปกว่าคำที่ฉันจะบอก ลัดดา ว่า " ฉันเข้าใจ...ฉันเข้าใจ และฉันเข้าใจ..."


...................................................................................

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน...
           ดิฉันขอพักการเขียนเรื่อง "บ้านไม้ชายทุ่ง" ไว้ก่อนนะคะ  ด้วยขณะนี้เกิดแรงบันดาลใจ
ที่จะเขียนเรื่องสั้นเพิ่มขึ้น ตามความคิดและความทรงจำสำหรับเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง.....
            หวังว่า ท่านผู้อ่าน จะเข้ามาเยี่ยมและเป็นกำลังใจด้วยค่ะ

                                                                                  ขอบคุณค่ะ
                                                                                    ต้อย มีนบุรี ผู้เขียน