วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อะไรในสายหมอก

เช้ามืดวันหนึ่ง ประมาณ ตี 5 กว่า ๆ เห็นจะได้ ฉันตื่นแต่เช้าลุกขึ้นไปใช้ห้องน้ำที่หลังบ้าน ซึ่งมองไปเป็นทุ่งนา และเป็นช่วงที่ชาวนาพักการทำนาเพื่อปรับดินไว้ปลูกข้าวรุ่นใหม่....
                อากาศยังมืดสลัวและเหมือนกับมีหมอกค่อนข้างมาก เพราะมองออกไปยิ่งไกลก็ยิ่งเห็นความมัวหม่น....ทันใดนั้นฉันก็เห็นคนเดินเป็นแถว นับได้ 13 คน มีทั้งหญิงและชาย แต่ละคนแต่งตัวธรรมดา แบบชาวนาย่านนั้น...
                 ฉันมองออกไปและก็พร้อมกับมีคำถามในใจ  เขาไปไหนกันเหรอ ทำไมไปกันแต่เช้าดูซิ เดินกันเป็นสายเลย เขาทั้งหมดเดินอยู่บนคันนา ซึ่งไกลออกไป และไกลออกไป
                อีก 3 คนจะสุดขบวนแถว  ฉันเห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยสีกากี แต่แต่งแบบตามสบายไม่เป็นพิธีการ ข้างหน้าชายคนนี้ มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเร็วมาก แต่เป็นท่าเดินแบบ งก ๆ เงิ่น ๆ เดินตามคนอื่นอย่างเร่งรีบ เดินไปและก็ตกคันนาไป เดินไปตกไป ทุกครั้งที่เดินตก ชายคนใส่เสื้อเหมือนสีกากีก็จะใช้ร่มที่มีด้ามแหลม ตีให้หญิงชราคนนั้นลุกขึ้นเพื่อเดินต่อ ด้วยความมืดทำให้ฉันต้องเพ่งมองดูอยู่นานพอสมควรด้วยความสงสัย
แต่ไม่รู้จะพูดคุยกับใคร เนื่องจากขณะนั้น ทางบ้านฉันยังไม่มีใครตื่นนอนเลยสักคน
               ช่วงเวลาที่ผ่านไป ภาพที่เห็นทำให้ฉันถามอยู่ในใจว่า ทำไมหญิงชราคนนี้ดูว่าเป็นคนสูงอายุมากแล้ว คิดว่าไม่น้อยกว่า 80 ปี ร่างกายดูชรามาก  แต่ทำไมท่วงท่าเวลาเดินจึงเดินเร็วมากจึงทำให้แกเดินผิดพลาด ตก ๆ หล่น ๆ และเวลาที่แกถูกตีให้ลุกขึ้น แกจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็เดินต่อ ตกและก็ถูกตีและลุกขึ้นอย่างเร็วเดินต่อ เป็นอย่างนี้ตลอดทาง ตลอดสายตาที่ฉันเห็น
               หลายคนที่เดินหน้า-หลังหญิงชราคนนี้ ไม่มีใครใส่ใจกับการที่ชายคนนั้น ตีหญิงชราเลย
ช่างน่าสงสารหญิงคนนี้ จริง ๆ ฉันมองตาม..ทั้งหมดเดินเป็นแถวหายไปในสายหมอก จนฉันมองไม่เห็น
....ฉันเข้าไปนอนต่อ แต่ไม่ได้หลับเลยแม้แต่น้อย
               ทุกคนตื่นสายเพราะเป็นวันหยุด ฉันพยายามคิดด้วยตนเองว่า ที่ฉันเห็นอาจเป็นเพราะเขาเหล่านั้นต้องรีบไปธุระ แต่ภาพที่หญิงชราถูกตีแรง ๆ มีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ และพยายามจะลืม...
          
               หลายวันต่อมา....ทุ่งนาแถวนั้นมีงาน ได้ยินเสียงดนตรีไทยเศร้า ๆ  ลอยตามลมมาเป็นระยะ ๆ และเห็นผู้คนมากมายเดินไปมา ระหว่างทางไปยังบ้านหลังหนึ่ง มีกอไผ่ล้อมรอบ มองผ่านเข้าไปใกล้ ๆ จึงจะเห็นว่ามีบ้านหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่โตมาก แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยต้นไม้ ร่มรื่นมาก มีบ่อน้ำเล็ก ๆ อยู่กลางความร่มรื่นนั้น มีไม้พันธุ์ มากมายแต่ส่วนใหญ่เป็นไม้ผล  มีกองฟางอยู่ข้างบ้านและมีควายอยู่ในคอก
ฉันได้มีโอกาสผ่าน....บรรยากาศอย่างนี้อบอุ่นเป็นธรรมชาติดีจริง ๆ
                คนหลายคนเดินเข้าออก แต่งตัวสีเรียบ ๆ ขรึม ๆ และส่วนใหญ่ เป็นสีดำ
               " เขามีงานศพนี่นา "  ฉันบอกกับแม่ ...  ."ยาย..คนแก่บ้านนี้ตายมา 3-4 วันแล้ว นี่เขามีงานสวดศพที่บ้านเลยนะเนี่ย.."  แม่บอก  " ญาติ ๆ เขาบอกว่าแกมีสมบัติเยอะ ที่นาแถวนี้เป็นของแกทั้งนั้นรวยมาก ขี้เหนียว ห่วงหวงสมบัติด้วย เขาเล่ากันว่าแกป่วยทรมานนานมาก.."  แม่พูดต่อ..
                ฉันไม่พูดอะไรเลย..ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้เล่าให้แม่ฟังในสิ่งที่ฉันเห็นเมื่อวันก่อน
ใจหนึ่งก็คิด สิ่งที่ฉันเห็นเช้ามืดวันนั้น มีใครมาพายายคนแก่นี้ไปยังโลกอีกโลกหนึ่งใช่หรือไม่
มีคนเคยเล่าว่า คนใกล้จะถึงเวลาแตกดับ จะไม่ทรมานและจะไปได้ง่ายหากไม่มีความกังวลห่วงใย และเวลาจะไปจะมีคนมารับไปโดยสะดวก...

              ทุกวันนี้ ก็ยังตอบคำถามให้ตัวเองไม่ได้ว่า ....อะไรในสายหมอก...