วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จิตวิญญาณ ครูสมศรี

ครูสมศรี สอนวิชาภาษาไทย  สมัยฉันเรียนชั้นมัธยมปลาย ครูเป็นคนมีระเบียบ การเขียน พูด การออกเสียงภาษาไทย ต้องถูกต้อง  ไม่เช่นนั้นครูจะไม่ผ่านการตรวจการบ้านให้โดยเด็ดขาด
                  ความเคร่ง ในวิชาและการสอน ทำให้ฉันและเพื่อน ๆ ต้องระมัดระวังเวลาเขียนหนังสือ ต้องตรวจทานให้ถูกต้อง ทั้งตัวสะกดการัน วรรณยุกต์ และการเขียนตัวอักษรหากตัวใดมีหัวเข้าออกก็ต้องเขียนให้ถูกต้อง.....
                  ครูสมศรีทั้งสอน พร้อมปลูกฝังให้รักในภาษาไทยเพราะเป็นภาษาของเรา....ซึ่งฉันประทับใจมาก.
                  ฉันได้จดจำคำสอนและ นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน  ฉันระลึกถึงครูสมศรีเสมอมา  ขอกราบขอบพระคุณครูสมศรี มา ณ โอกาสนี้
                  
                  ครูสมศรีเป็นครูที่ฉันรักมากคนหนึ่ง เพราะพฤติกรรมที่ฉันเห็น.. ครูเป็นคนที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูอยู่เต็มตัว ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง รักศิษย์และหวังดีแก่ศิษย์ทุกคนอย่างเสมอภาค......
                  
                  ปิ่นทองเป็นเพื่อนฉันคนหนึ่ง เขาเป็นคนขี้เล่นแบบเด็กซุกซน มักจะล้อเล่นกับเพื่อน ๆ ในห้องเรียนอยู่เป็นประจำ บางวิชาไม่ค่อยสนใจการเรียน มัวแต่กระซิบคุยให้เพื่อน ๆ ฟัง ในขณะที่ครูกำลังสอน....
                  วันหนึ่ง ครูสมศรีได้สั่งบทเรียนให้ไปอ่าน และจะทำการทดสอบบทเรียนตามที่สั่ง  ครูจะเก็บผลการทดสอบไว้เป็นคะแนนเก็บ...         
                 .เมื่อถึงเวลาเข้าห้องสอบ ทุกคนต่างเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ ครูสมศรีจัดให้มีที่นั่งที่ห่างกันพอสมควร    ปิ่นทองนั่งอยู่แถวกลางห้องเรียน ห่างกับฉันไม่มากนัก  พอมองออกไปนอกห้อง ฉันก็จะพบปิ่นทองอยู่ในสายตาพอดี
                   เมื่อครูแจกข้อสอบ และให้ลงมือทำ....ทุกคนทำข้อสอบอย่างเคร่งเครียด  ฉันสังเกตเห็นปิ่นทอง นั่งก้มหน้า ตัวงอ บางครั้ง ก็กระสับกระส่าย เหลียวมองทางโน้นที ทางนี้ที และบางทีก็เหลียวมองครูที่กำลังนั่งคุมสอบอยู่ที่โต๊ะ...
                   ครูสมศรีลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินมายัง ปิ่นทอง "เป็นไง ทำไม่ได้เหรอ ไหนขอดูหน่อย ทำถึงไหนแล้ว"  ครูพูดพร้อมกับหยิบกระดาษคำตอบของปิ่นทองขึ้นมาดู   "อ้าว นี่เธอทุจริตนี่ เธอเอาคำตอบมาลอก ใช้ไม่ได้ เธอทำอย่างนี้ไม่ได้ "    
                   ฉันเห็นปิ่นทองหน้าซีด แต่ตาของเขาดุมาก ครูสมศรีนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครูจึงพูดว่า " ครูจะเปลี่ยนข้อสอบให้เธอใหม่ หรือเธอจะให้ครูปรับตกเลย เอาไหม"
ปิ่นทองลุกขึ้น พูดกับครูสมศรี "เอาข้อสอบใหม่"  ปิ่นทองพูดห้วน ๆ  .ครูสมศรีเดินไปที่โต๊ะ หยิบกระดาษข้อสอบให้ปิ่นทอง   คงเป็นข้อสอบคนละแบบกันกับฉบับเดิม...
                   ปิ่นทองรับข้อสอบใหม่จากครูสมศรี   และขยำกระดาษคำตอบเดิมอย่างแรง ต่อหน้าครูสมศรีแล้วเขวี้ยงกระดาษ ลงบนพื้นห้อง      ฉันเห็นครูสมศรีหน้าแดงอาจเป็นเพราะโกรธ
แต่ครูก็พูดเสียงนิ่ม ๆ ว่า " ปิ่นทอง ทำไมทำกริยาอย่างนี้ กับครู....."
                  
                    การสอบสิ้นสุดลง ช่วงเวลาที่ครูจะบอกคะแนนและเฉลยข้อสอบ  ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทุกคนเคยเป็นอย่างนี้   คะแนนที่ได้จะมีความหมายกับผลสอบภาคปลายมาก
                   ครูสมศรีเฉลยคำตอบให้ทุกข้อ และเรียกให้นักเรียนตอบคำถามทุกคน  แต่จะเว้นปิ่นทองไว้คนหนึ่งเสมอ ๆ  และครูก็จะบอกคะแนนว่าใครได้เท่าไร  เว้นไว้แต่ ปิ่นทองเพียงคนเดียวทึครูไม่สนใจ
                   หมดชั่วโมงสอน....ต่างคนต่างดีใจ ถามกันไปมาว่าใครได้คะแนนเท่าไร   ฉันเห็นปิ่นทองหน้าเศร้า ไม่พูดคุยกับใครสักคน

                    ทุกครั้ง เมื่อครูสมศรีเข้าสอน ครูจะไต่ถามบทเรียนตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ ทุกคนจะได้ตอบ  เว้นแต่ ปิ่นทอง ที่ครูสมศรีทำเหมือนเขาไม่อยู่ ไม่มีในห้อง...... ปิ่นทองเริ่ม เศร้า เหงา เวลาเรียนวิชาของครูสมศรี เหมือนไม่มีกระจิตกระใจจะเรียน  เพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าหน้า ปิ่นทอง
                   
                     หลายวันต่อมา ในชั่วโมงครูสมศรี เมื่อครูเข้ามาในห้องนั่งโต๊ะแล้ว ฉันเห็นปิ่นทองเดินไปหาครูสมศรี ฉันเองก็ระแวงว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีก ปิ่นทองจะทำกริยาไม่ดีอะไรกับครูสมศรีอีก...
แต่ภาพที่เห็น คือปิ่นทอง นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ ครูสมศรี แล้วพูดอะไรกับครูสมศรี อย่างเรียบร้อย
บรรยากาศภายในห้องเรียน เงียบสงบ แต่ฉันก็ไม่ได้ยินว่าปิ่นทองพูดอะไร...... ครูสมศรีพูดอยู่นานพอสมควร  แล้วปิ่นทองก็ยกมือไหว้ครูสมศรีอย่างเรียบร้อยที่สุด เท่าที่ฉันเคยเห็นปิ่นทองไหว้คนอื่น ๆ และ
ครูสมศรีพยักหน้ารับไหว้ด้วยรอยยิ้ม.....
                
                      ต่อมาเมื่อครูสมศรีเข้าสอน ครูก็จะเรียกให้ทุกขึ้นตอบคำถาม ไม่เว้นปิ่นทอง ครูยิ้มแย้มสดใสกับนักเรียนทุกคน ไม่มีใครซักถามเรื่องของปิ่นทอง และครูสมศรีก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา.....
                     เวลาสอน ครูจะเรียกฉันและทุกคน ด้วยการเรียกชื่อ เหมือนกับเรียกปิ่นทอง " ปิ่นทองเธอตอบคำถามครูซิ...."
                    วิชาภาษาไทยของครูสมศรี  บรรยากาศการเรียนการสอนเต็มไปด้วยความสดชื่น อบอุ่นกรุ่นไปด้วยความเมตตา ฉันไม่เบื่อเรียน  ไม่ง่วง ไม่กลัวเวลาต้องลุกขึ้นยืนตอบคำถามครู  ไม่เบื่องานที่ครูสั่งให้ทำ อยากร่วมกิจกรรมเรียนกับครู  วันใดที่ครูสมศรีไม่มาสอน ฉัน ปิ่นทองและเพี่อน ๆ รู้สึกเสียดายและคิดถึงครูสมศรีมาก

                      เมื่อรู้จักผิด ยอมรับผิด รู้จักการขอโทษ ....ครูสมศรีก็จะสอนบอกสิ่งดีและไม่ดี และให้อภัยศิษย์
                     ฉันจำเหตุการณ์นี้ได้ดี  นี่แหละ จิตวิญญาณครู  ที่ชื่อ "สมศรี"

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลุงเกลี้ยง

ลุงเกลี้ยงมีอาชีพเป็นภารโรง ประจำโรงเรียนของฉัน  ครูทุกคนเรียกเขาว่า นายเกลี้ยง แต่ฉันและเพื่อนๆ เรียกเขาว่า ลุงเกลี้ยง

     ลุงเกลี้ยงเป็นคนใจดี เป็นคนซื่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคน แม้เวลาที่ลุงถูกครูหลายคนใช้ให้ทำโน่นทำนี่ ลุงเกลี้ยงก็ยังยิ้ม ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย.....
     ฉันเห็นลุงเกลี้ยงทำทุกอย่าง เปิดปิดประตูโรงเรียนและห้องเรียน กวาดห้องเรียน กวาดเก็บเศษขยะ ที่สนามหญ้าหน้าเสาธง รดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า ตีระฆังบอกเวลา  ไล่สุนัขไม่ให้มารบกวนในโรงเรียน......
ทำหน้าที่เดินหนังสือระหว่างห้องพักครู ซื้อ สั่ง ส่งอาหารให้ครูตอบพักเที่ยง....ช่วยครูขายอาหารให้นักเรียนที่โรงอาหารด้วย และบางทีก็เห็นลุงเกลี้ยงหิ้วสัมภาระต่าง ๆ ไปส่งครูที่รถ
    ลุงเกลี้ยงอาศัยอยู่ในบ้านพัก ที่อยู่ในบริเวณโรงเรียน ลุงมีครอบครัว ภรรยาลุงชอบทำขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วนำมาขายเด็กนักเรียน เช่นมะขามกวน ทอฟฟี่ กล้วยทอด  แป้งจี่ บางทีฉันและเพื่อนก็จะแอบไปซื้อขนมเหล่านี้ ในบ้านพักของลุงเกลี้ยง

        มีหลายครั้งที่ฉันเห็น ลุงเกลี้ยงถูกดุ ครูบางคนเรียกใช้และไม่ได้ตังใจ ซึ่งฉันจะได้ยินครูบ่น ตอนที่ครูเรียกลุงเกลี้ยงมารับใช้ใน ชั่วโมงที่กำลังสอน และฉันก็ไม่ชอบเสียงบ่นของครูเลย
"เห็นไหมพวกเธอ คนไม่เรียนหนังสือ ก็มักจะพูดอะไรด้วยไม่ค่อยรู้เรื่อง  สั่งอย่างได้อย่าง " ครูมักจะหันมาทางนักเรียน เมื่อลุงเกลี้ยงเดินออกไปแล้ว...
      "พวกเธอก็ต้องเรียนเยอะ ๆ จะได้ไม่โง่"   "ชื่อเกลี้ยงสมชื่อจริง ๆ สมองเกลี้ยงพูดไม่รู้เรื่อง  ให้เดินเสียให้เข็ด ถ้าไม่ได้ตามที่สั่ง ให้เหนื่อยซะให้เข็ด"....ฯลฯ  ล้วนแต่เป็นคำที่ไม่น่าฟัง....บรรยากาศในห้องเรียนก็จะเครียดและขุ่นมัว
       แต่ฉันก็ยังเห็นลุงเกลี้ยงยิ้มตลอด แม้ลุงจะเดิน ไปมา หลายครั้ง ในธุระให้ครูเพียงเรื่องเดียวก็ตาม

      พวกฉันเคยพูดหยอกล้อลุงเกลี้ยงว่า ใครนะตั้งชื่อให้ลุง  และลุงเกลี้ยงก็มักจะพูดเปรย ๆ ว่า "ลุงเป็นคนอาภัพ พ่อแม่ตายตั้งแต่ลุงยังเล็ก ยายลุงก็แก่แล้ว เลี้ยงไม่ไหวพอลุงโตสักหน่อย ก็เลยเอาลุงไปฝากให้เป็นเด็กวัด ลุงอยู่ที่วัด โตมากับวัด  พอเป็นหนุ่มมาเจอป้า ก็เลยออกจากวัดมาอยู่ด้วยกัน ทำมาหากินอยู่กัน จนแก่นี่แหละ...ลูกเต้าก็ไม่มี..."  "ใคร ๆ เขาก็ว่า ลุงเป็นคนโง่  สอนอะไรก็ไม่จำ"    ลุงพูด เหมือนน้อยใจในโชคชะตา...แล้วลุงก็พูดต่อ....
"พวกหนูต้องเรียนเยอะ ๆ นะ จะได้ไม่โง่แบบลุง"
      ตอนนั้น ฉันไม่เคยคิดว่าลุงเกลี้ยงเป็นคนโง่เลย  ฉันมองว่าลุงเป็นคนซื่อ มีเมตตา และลุงก็ใจดีกับเด็ก ๆ  เวลาไปซื้ออาหารกลางวันในโรงอาหาร ฉันได้รับแถมจากลุงเสมอ ๆ
     ฉันเคยนึกสงสารลุง เมื่อเห็นลุงหน้าเศร้าเมื่อถูกครูดุ  ก็ได้แต่นึก และไม่ได้พูดอะไรให้ใครฟัง
และฉันไม่ชอบเลย เมื่อครูหลายคน เรียกลุงเกลี้ยงหรือตวาด ด้วยเสียงอันดังว่า "นายเกลี้ยง ! "
 
     เมื่อสบโอกาสฉันได้พบลุงเกลี้ยงบ่ายวันหนึ่ง ถามไถ่ลุงอยู่สักพัก.... "ลุงเหนื่อยไหม "  และอึดใจหนึ่งฉันก็คิดเรื่องชื่อของลุง..... "ลุงเปลี่ยนชื่อดีไหม  อย่าชื่อเกลี้ยงเลย เพราะมันเหมือนไม่มีอะไรเลย เกลี้ยง มันเหมือนไม่เหลืออะไร ชื่ออะไรก็ได้ ที่มีคำว่า บุญ  ดีไหมคะ ลุง" ....   ลุงเกลี้ยง อมยิ้ม.......
   
    เวลาผ่านไป จนวันหนึ่ง ลุงเกลี้ยงเข้ามาในห้องเรียน...  ครูกำลังสอน ฉันเห็นลุงเกลี้ยงนำสิ่งของบางอย่างส่งให้ครู คงเป็นของที่ครูสั่งให้นำมาให้   "ขอบใจนะ นายเกลี้ยง"  ครูพูด
ลุงเกลี้ยงออกจากห้องไปแล้ว สักครู่เดียว ลุงเกลี้ยงก็ย้อนกลับมาอีก 
   "ครูครับผมเปลี่ยนชื่อแล้วนะครับ"   ลุงเกลี้ยงบอกครู
   " อ้าว เหรอ แล้วเปลี่ยนเป็นอะไรล่ะ"   ครูถาม
  "เปลี่ยนตามที่หนูคนนั้นแนะนำ"  ลุงเกลี้ยงชี้มาทางฉัน

   เสียงลุงดัง ตอบครูอย่างภาคภูมิใจว่า "ผมชื่อ บุญเกลี้ยง" ครับ ..!!!!!

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มานพ สุภาพบุรุษชอบเปรี้ยว

ในห้องเรียนวิชาภาษาไทย บ่ายวันนั้นอากาศร้อนมาก  เหล่านักเรียนทั้งหลายต่างง่วงเหงาหาวนอน
นั่งสับประหงก ฟังครูบ้างไม่ฟังบ้าง....เวลาผ่านไปเกือบหมดเวลาสอน..
               มานพเพื่อนฉันคนหนึ่ง เขาไม่ค่อยได้มาเรียน เพราะมัวแต่ไปหลงอยู่กับดนตรี เป็นมือกลองประจำวงดนตรีเล็ก ๆ วงหนึ่ง หน้าตาเขาหล่อเหลาเอาการ   เป็นที่น่าชื่นชมและน่าเอ็นดูกับผู้พบเห็นและคนใกล้ชิด ......เพื่อนชายพากันอิจฉา ยามที่เพื่อนหญิงเข้ามาเอาอกเอาใจ ให้ขอยืมแบบฝึกหัดไปลอก เมื่อเขาถูกครูทวงถามการบ้านหรือเรื่องเรียน เขาจะใช้เสน่ห์เอาตัวรอดทุกครั้ง...  เขาคงนอนดึกและนอนไม่เป็นเวลา ครั้นได้มาเรียนบ้างจึงมีอาการง่วงตลอด และชั่วโมงนี้เขาจะง่วงมากกว่าใคร จนทนไม่ไหว เขาจึงกระซิบถามเพื่อน ๆ ฉัน หลายคนว่า มีอะไรมากินแก้ง่วงไหม
               เพื่อน ๆ หญิงของฉัน 2-3 คน ได้ยินจึงพากันหยิบ ของดองต่าง ๆ เช่น มะม่วงดอง มะยมดอง    มะขามเปรี้ยวคลุกน้ำตาลออกมาแล้วส่งให้มานพ... และเขาก็กระซิบบอกเสมอว่า เขาชอบเปรี้ยว ๆ มีอีกไหม...
              ทำให้หลายคนทั้งหญิงชายพากันขอแบ่งปันมากินกัน อย่างแอบ ๆ ไม่ให้ครูได้ยิน หรือไม่ให้ครูเห็น บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุก เล็ก ๆ  กลั้นเสียงหัวเราะกันแทบไม่อยู่เลยทีเดียว

             สักครู่ใหญ่ ครูนงเยาว์ เริ่มสังเกตปฎิกริยาของนักเรียน และได้ยินเสียงหัวเราะเล็ดลอด ออกมา
ครูเริ่มโกรธ และหยุดสอนทันที  หันมาถามเสียงเครียดว่า " ใครกินขนมในห้อง ..."
             .ทุกคนเงียบ ไม่มีใครตอบ และต่างเก็บของซ่อนไว้ให้มิดชิดที่สุด
              ครูนงเยาว์เดินมาตามโต๊ะ ของแต่ละคน..มองดูในลิ้นชัก   เมื่อเห็นว่ามีของกินซ่อนอยู่
ครูก็จะหยิบแล้วให้ นักเรียนที่นั่งโต๊ะ เหล่านั้นนำไปวางไว้ที่โต๊ะครูใกล้กระดานดำ...ได้ของกินครบตามที่พวกฉันและมานพ นำมากินกัน
             "ครูไม่เข้าใจว่า เธอทำอย่างนี้ทำไม ไม่ให้เกียรติครูเลย เพราะครูกำลังสอน
จริงอยู่เธอง่วงกัน ก็เข้าใจนะ แต่น่าจะตั้งใจเรียนกันหน่อย ความง่วงก็จะหายไป  เธอเคยได้ยินคนแก่
ไหม ที่เขาบ่นว่า นอนไม่หลับเพราะคิดโน้นคิดนี่ จนนอนไม่หลับน่ะ   ถ้าเธอคิดตามบทเรียนที่ครูสอน เธอจะง่วงกันได้อย่างไร  แต่นี่เธอไม่ฟังก็เลยไม่คิดตามเรื่องที่ครูกำลังสอน  เลยง่วง ...."
               เสียงครูนงเยาว์บ่นพวกเรา ก้องกังวานจนพวกเราหายง่วง  มีแต่ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที
               "ครูจะต้องลงโทษ คนซื้อของเหล่านี้เข้ามากินในห้อง บอกมาว่าใคร"
               ทุกคนเงียบ ก้มหน้า ไม่มีใครกล้าสบตาครู   มีแต่พวกคนคงแก่เรียนทั้งหลายที่ ยืดคอ มองครู
               ความเงียบผ่านไป เมื่อมานพ ยกมือขึ้นแล้วลุกขึ้น บอกครูว่า " ผมครับ ผมขอบเปรี้ยว ผมเป็นคนซื้อมาแจกจ่ายกันกินเพราะรู้ว่าต้องง่วงแน่ ๆ ครับ ชั่วโมงนี้"
         
               ทุกคนตกตะลึง ในคำรับสารภาพของมานพ
               ครูนงเยาว์ บอกว่า "ครูไม่เชื่อนะ ว่าเธอคนเดียวเป็นคนซื้อของเหล่านี้...."  ครูนิ่งอยู่สักพัก
ก็พูดว่า " แต่ถ้าเธอยอมรับ และไม่มีใครยอมรับอีก ครูจะลงโทษเธอคนเดียวนะ ทุกคนรับรู้ไว้ด้วย
สำหรับคนที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดพร้อมเพื่อน ให้มานพเป็นผู้ผิดเพียงคนเดียว  พวกเธอต้องยกย่องเขาเรียกเขาว่า มานพสุภาพบุรุษชอบเปรี้ยวนะ"
               บรรยากาศในห้องเปลี่ยนจาก เครียดเป็นผ่อนคลาย นักเรียนหัวเราะ ครูยิ้ม..
               ครูนงเยาว์บอก "ครูจะว่ากล่าวตักเตือนนะ คราวต่อไปถ้าทำอีกครูจะทำโทษให้หนัก  อาจถึงตัดคะแนนวิชานี้และไม่ให้มีสิทธิ์สอบในวิชานี้ จึงตกและต้องสอบซ่อม"....หมดเวลาชั่วโมงนี้พอดี ครูออกจากห้องไปแล้ว...พวกเราก็ยังขำพูดคุยและหัวเราะกันต่อ
            
              แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว ครูนงเยาว์ก็เดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง พวกเราตกใจ เงียบ...ครูนงเยาว์ พูดเสียงดังพอสมควร  "มานพ  เดี๋ยวเธอเอาขนมเปรี้ยว ๆ บนโต๊ะครู ไปให้ครูที่ห้องพักครูด้วย...แหม พวกเธอแอบกินกันทำไมไม่เรียกครูกินบ้าง ครูก็ชอบเปรี้ยวเหมือนกันนะ..."
               เสียงพวกเราในห้องเรียนหัวเราะ เฮฮา..ดังขึ้น  เป็นที่ครื้นเครง  มานพรีบหยิบของกินเหล่านั้นวิ่งเหยาะ ๆ ตามครูนงเยาว์ไป.....
               จากนั้น มานพจึงได้ฉายาว่า มานพ สุภาพบุรุษ ชอบเปรี้ยว ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...
                มานพ ขณะนี้เธออยู่ไหน เพื่อน ๆ คิดถึง  "สุภาพบุรุษชอบเปรี้ยว" ของฉัน

เด็กชายมาโนช

มาโนชเป็นเพื่อนสมัยฉันเรียนอยู่ ป.5  เขาเป็นคนเฉย ๆ เรียบร้อย ไม่ค่อยพูด และไม่ค่อยมีเพื่อน
เขามักจะทำอะไรลำพัง เช่น กินข้าว เล่นหมากเก็บคนเดียว เดินดูต้นไม้ใบหญ้า และบางทีก็เล่นกระโดดเชือกเพียงลำพัง
        การเรียนของเขาอยู่ในขั้นเรียนอ่อน อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนเงียบ ๆ  ไม่ค่อยตอบคำถามของครู และไม่สนใจในเวลาเรียน  บ่อยครั้งที่ ฉันเห็นเขานั่งนิ่ง ๆ และเหม่อลอย
       วันหนึ่งเย็นมากแล้ว เด็กนักเรียนต่างทะยอยกันกลับบ้าน แต่ฉันยังต้องรอให้ผู้ปกครองมารับกลับ... ขณะนั้น ฉันเห็น มาโนชเดินและล้มลง ขาของเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า และเขาก็พยายามลุก
และจะเดินต่อ แต่ฉันก็เห็นเขาล้มลงอีก หลายครั้งที่ฉันเห็นเขาล้มแล้วลุก ล้ม ๆ ลุก ๆ
       เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้ ฉันจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับพยายามพยุงเขาลุกขึ้น
ก็ได้เพียงแค่นั้น เขาลุกขึ้นยืนได้ แต่ไม่สามารถก้าวเดินได้เลย ฉันจึงให้เขายืนอยู่อย่างนั้นและฉัน
ก็เดินไปหาครูประจำชั้นที่ห้องพักครู   ฉันพบครูสมทรง ซึ่งเป็นครูของฉันในขณะนั้น
       ฉันบอกครูเรื่องของมาโนช แต่ทำไม ดูครูไม่ตื่นเต้นกับเรื่องที่ฉันบอกเล่าเลย  แต่ครูก็ลุกขึ้นและบอกว่า ครูจะกลับบ้าน  พร้อมกับครูก็หยิบกระเป๋าและสิ่งของเดินออกจากห้อง....
       ฉันเดินตามครูสมทรง.....จนมาถึงบริเวณที่มาโนช ยืนอยู่  ฉันเห็นมาโนช ร้องไห้ เขาไม่ได้ขยับตัวไปจากเดิมเลย  ฉันจึงรีบบอกครูสมทรงว่า  มาโนชอยู่ตรงนั้น ให้ครูช่วยเขาด้วย.....
        ครูสมทรงพูดกับมาโนชว่า เธอต้องช่วยตัวเอง และรอให้คนอื่นมาช่วยนะ เพราะครูกำลังจะกลับบ้าน  มาโนชยังร้องไห้ไม่หยุด  เขาบอกเขาปวดขาและเดินไม่ได้  แต่ครูสมทรงก็ได้แต่มองนิดหนึ่ง
แล้วครูก็เดินจากไป....ครูคงเดินทางกลับบ้าน....ฉันบอกมาโนชว่า ฉันจะไปบอกครูคนอื่นให้มาช่วยเธอ....
        ขณะนั้น ยังมีเด็กนักเรียนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร...ฉันเดินหาครูในโรงเรียนแต่ไม่พบใครเลย เดินตามหาในที่ต่าง ๆ เผื่อจะพบครูบ้าง  ก็ไม่พบใคร เวลาผ่านไปพอสมควร ฉันจึงเดินกลับมา
หามาโนช....ไม่พบมาโนช และผู้ปกครองฉันก็มารับกลับบ้านพอดี
          คืนนั้นฉันนอนคิด ใครจะช่วยมาโนช มีใครเห็นมาโนชหรือเปล่า
          วันรุ่งขึ้นมาโนชไม่ได้มาโรงเรียน  และฉันก็ไม่ได้ยินใครพูดถึงมาโนช

          เวลาผ่านไปหลายเดือน จนฉันสอบไล่ และปิดเทอม...
          พอเปิดเทอมเรียนชั้นใหม่  วันแรกฉันเห็นมาโนช มาพร้อมกับพ่อและแม่ของเขา  ฉันแปลกใจมาก ที่เห็นมาโนชเดินและเห็นขาเขาไม่เท่ากัน เล็กและลีบไปข้างหนึ่ง จำได้ว่า เป็นขาที่เขาบาดเจ็บในวันที่ฉันเห็นเขาล้มในวันนั้น..
           หน้าตาของเขาดูเศร้ามาก.... แต่พอมาโนชเห็นฉันเขาก็ยิ้มกว้าง....ได้แต่ยิ้มให้กันไม่ได้พูดอะไรกันเลย
          ฉันได้ทราบข่าวจากครูคนใหม่ของฉันว่า  พ่อและแม่ของมาโนช มาพบครูใหญ่ แจ้งครูว่า
มาโนชไม่สามารถมาเรียนได้ เนื่องจากเขาเป็นคนพิการขาลีบไปข้างหนึ่ง  การบาดเจ็บครั้งนั้นเป็นต้นเหตุทำให้เขาพิการ เพราะการรักษาที่ไม่ถูกต้องและทันท่วงที  ภารโรงที่โรงเรียนได้พามาโนชไปส่งที่บ้านแต่เวลาที่เกิดเหตุก็ทิ้งช่วงห่างกับการรักษา ทำให้อาการเจ็บที่ขาของเขาลุกลาม ถึงแม้บาดแผลจะหายก็ตาม ......มิน่าเล่า วันนั้นเขาถึงร้องไห้ไม่หยุดและบอกครุสมทรงว่า เขาปวดเจ็บที่ขามาก
          ใครจะรู้บ้างว่า   ถ้าครูสมทรงช่วยเหลือเขา ไม่ปล่อยให้เขายืนอยู่อย่างนั้น  มาโนชจะพิการอย่างนี้ไหม

            จะเป็นจริงหรือไม่ ว่าครูสมทรงมีส่วนทำให้มาโนข เป็นคนพิการ  แต่สิ่งที่ฉันเห็นอยู่กับตาตนเองคือ.... วันนั้น ครูสมทรงวางเฉย ไม่สนใจมาโนชเลยแม้จะเห็นว่า เขากำลังร้องไห้ก็ตาม......