วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

บ้านไม้ชายทุ่ง

ตอนที่ 2 ฝนดาวตก
บนโต๊ะอาหารมื้อเย็น มีแกงส้มดอกแคกับกุ้ง ปลาทับทิมทอดกระเทียม และไข่เจียว
สมาชิกทั้ง 4 คนนั่งร่วมโต๊ะ กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย..
"อร่อยจังเลยคะ ป้าละมุน ต้องกินเยอะ ๆ เพราะคืนนี้จะนอนดึกคอยดูดาวตก นี่แกงจากดอกแคหน้าบ้านเราใช่ไหมคะ "
มาลัยพูดไปเคี้ยวอาหารไปด้วย.."อย่าเพิ่งพูดเคี้ยวให้หมดปากก่อน เดี๋ยวจะสำลัก"
เสียงป้าละมุนบอก" กินแต่พออิ่ม นอนดึกกลางคืนถ้าหิว ป้ามีของกินให้อีก นมไง จะไปอุ่นให้ร้อน ๆ ก่อนกิน"

ค่ำคืนแห่งการรอคอย... 3 ทุ่มกว่าแล้ว มะลิและมาลัย นั่งเล่นอยู่นอกระเบียงบ้าน กลิ่นดอกการะเวกหอมโชย คุณยายอังกาบปลูกไว้นานแล้ว และปล่อยให้มันเลื้อยพันอยู่ที่เสาริมระเบียง ด้านบนทำเป็นร้านให้มันเลื้อยจนหนา ใบและดอกดก และจะมีกลิ่นหอมยามเย็นถึงค่ำคืน...
 อากาศเริ่มเย็น และมีลมหนาวโชยมาเป็นระยะ ๆ  ความเงียบ ความมืด ฟ้ามีดาวพราวพร่าง บ้านที่อยู่ห่าง ๆ ก็เห็นแสงไฟบ้าง ดับมืดบ้าง...

"เข้าอยู่ในชายคาลูก หน้าหนาวน้ำค้างแรง เดี๋ยวจะไม่สบาย" เสียงคุณยายกังกาบบอกกับ
หลานทั้งสอง " อยู่ในชายคาก็มองเห็นนี่นา มองไปไกล ๆ เห็นไหมดาวเยอะเชียว ยิ่งดึกยิ่งเห็นมาก ไปเรียกป้าเขามานั่งด้วยกันซิลูก"

คุณยายอังกาบ ป้าละมุน มะลิร้อย มาลัยกรอง นั่งรวมกันอยู่ที่ม้านั่งริมระเบียงบ้าน ถึงแม้จะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่มุมนี้มองออกไปข้างนอก คือทุ่งนาอันกว้างใหญ่ มีบ้านคนอยู่ห่าง ๆ อากาศเย็นและบริสุทธิ์มาก เมื่อสูดลมหายใจจะรู้สึกโล่งปลอดโปร่ง สมาชิกในบ้านหลังนี้จึงมีสุขภาพดีเพราะอากาศดี ไม่ค่อยมีมลภาวะ ถนนทางเข้าบ้านยังเล็ก ๆ รถจะวิ่งผ่านบ้าง มองดูเหมือนเปลี่ยว..แต่ตั้งแต่คุณยายอังกาบอยู่ที่นี่ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรน่ากลัวจากใครเลย ....

ในที่ดินกว่า 200 ตรว. มีบึงเล็ก ๆ เกิดจากการขุดหน้าดินไปขายก่อนที่คุณยายอังกาบจะมาซื้อเสียอีก คุณยายบอกว่า ถ้าจะถมที่คงต้องใช้ดิน หลายคันรถ...แต่คุณยายก็ยังไม่คิดจะถม เพราะในบึงน้ำนั้นมีบัวกินสาย ผักกระเฉด ผักบุ้ง มากมายรอให้เก็บกิน และกุ้ง ปลา น้ำจืดอีกหลายชนิด
อีกทั้งยังมีต้นแคใหญ่ ปลุกไว้อีก 1 ต้นริมทางเข้าบ้าน ต้นแคหน้าหนาวกำลังออกดอกสะพรั่ง  มีหลายคนเข้ามาจะขอซื้อที่ดินผืนนี้ แต่คุณยายอังกาบก็ไม่คิดจะขายให้ใคร คุณยายบอกว่ารักและหวงแหนที่ดินนี้มาก เพราะอยู่แล้วสุขสบายใจ

สมัยเมื่อคุณตาโปรย ผู้เป็นตาของมะลิร้อย และมาลัยกรองยังมีชีวิตอยู่ ก็ได้อาศัยพืชผัก ปลา กุ้งนี่แหละ เป็นอาหารยามเมื่อไม่อยากไปที่ตลาด ซึ่งแต่ก่อนไปมาไม่สะดวกเลย...

"เมื่อไรจะเห็นดาวตกสักดวง นั่งอยู่นานแล้ว.." เสียงบ่นจากมาลัย(ยังมีต่อ)

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

บ้านไม้ชายทุ่ง

ตอนที่ 1 สี่ชีวิต
บ้านไม้ชั้นเดียวปลูกแบบง่าย ทาสีด้วยน้ำมันยาง...
คุณอังกาบ มีลูกสาว 2 คน ชื่อ ละมุนและละไม  คุณละไม แต่งงานกับ พ.อ จักรา มีบุตรสาว 2 คน คุณยายอังกาบและคุณละมุนผู้เป็นป้า ตั้ง ชื่อให้ว่า มะลิร้อย และมาลัยกรอง เมื่อคุณละไมคลอดมาลัยกรองได้ 5 เดือน ก็มีอันต้องเสียชีวิตไป ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว.....

เวลาผ่านไปได้ 7 ปี พ.อ จักรา ผู้เป็นบิดาของ มะลิร้อยและมาลัยกรอง ก็ขอปลีกตัวไปมีครอบครัวใหม่ คุณยายอังกาบและคุณละมุนผู้เป็นป้า และยังโสด  จึงได้เลี้ยง มะลิร้อย และมาลัยกรอง ไว้และอาศัยอยู่ที่บ้านไม้หลังเดิม ที่ชายทุ่ง....แต่พ.อ จักราผู้เป็นพ่อ ก็มิได้ทอดทิ้ง ลูกสาวทั้งสอง ยังส่งเงินให้ใช้จ่ายและมาหาด้วยความรัก เสมอ ๆ

ภายในบ้านหลังน้อยนี้ จึงมีผู้อาศัยอยู่ 4 คน มะลิร้อยและมาลัยกรอง อายุห่างกัน 3 ปี
ขณะนี้ มะลิร้อยอายุได้ 10 ปีแล้ว ส่วนมาลัยกรอง อายุได้ 7 ปีกว่า ๆ

คุณยายอังกาบและ ป้าละมุน เรียก หลานทั้งสองสั้น ๆ  ว่า มะลิ และมาลัย  ทั้งสองเลี้ยงหลานกำพร้าแม่มาด้วยความรักความผูกพัน และความสงสารทื่มีให้อย่างเต็มเปี่ยม .....

วันนี้เป็นวันหยุด ป้าละมุน ลุกขึ้นตื่น ไปตลาดแต่เช้าตรู่ ซื้อผักสด เต้าหู้เหลือง ปลา กุ้ง และผลไม้หลายอย่าง.....และเป็นวันที่ พ.อ จักรา จะมาพบบุตรสาวทั้งสอง
ป้าละมุนกลับจากตลาดแล้ว มองเห็นมะลิและมาลัยนั่งเล่นอยู่หลังบ้าน...
"มาเร็วมาช่วยป้าทำอาหารเช้ากินกันดีกว่า" ป้าละมุนเรียกหลาน
มะลิเดินเข้ามาในครัวตามมาด้วยมาลัย "ทำอะไรกินหรือคะ ป้า วันนี้พ่อจะมาที่นี่หรือคะ ดีเลยหนูอยากขอให้พ่อพาไปเที่ยว ทะเล อยากไป ๆ "
"นัดกับพ่อเขาไว้เหรอไง  เขาว่างเหรอ"
เงียบ เพราะทั้งสองคนไม่ได้นัดกับพ่อของเธอเลย
"เอาล่ะ เดี๋ยวพอพ่อเขามาก็ถามเขาก่อนว่า เขาว่างหรือเปล่า" พูดพลางป้าละมุน มือก็ทำงานไปด้วย ป้ากำลังต้มน้ำร้อน ชงชาร้อน และปิ้งขนมปัง
"มาลัย เอาชากับขนมไปให้คุณยายหน่อยซิลูก"
มะลิเป็นลูกมือช่วยป้าละมุนทำอาหารจนเสร็จ กับข้าวเช้านี้ เป็นข้าวสวย ผัดเต้าหู้เหลืองใส่ถั่วงอกและต้นหอม ไม่ใส่หมู และแกงพะแนงไก่ ที่ทำกินเป็นอาหารเย็นเมื่อวานแต่ยังเหลืออยู่ ป้าละมุนบอกว่า" เรากินกันน้อย ป้าก็ทำอะไร ๆ น้อย ๆ ไม่ค่อยเป็น  ทำเยอะก็เหลือ อุ่นแล้วนะ ช่วยกันกินของเก่าก่อน เย็นนี้จะทำแกงส้ม ไม่ให้เผ็ดหรอก กลัวหลานกินไม่ได้ ขนาดแกงพะแนงป้ายังลดน้ำพริก กลัวหลานจะเผ็ดเลย"

อาหารมื้อเช้ามีคุณยายอังกาบ ป้าละมุน มะลิ มาลัย  กินด้วยกัน เป็นอย่างนี้ประจำแทบจะทุกมื้อ
คุณยายอังกาบบอกป้าละมุน ให้หลาน ๆ กินข้าวร่วมโต๊ะ  หากเป็นไปได้ให้ทำอย่างนี้ทุกมื้อ
คุณยายอังกาบยังบอกอีกว่า " การกินอาหารร่วมกันที่โต๊ะอาหาร หรือวงอาหารที่ใด เป็นการแสดงถึงความรักความอบอุ่นที่ครอบครัวมีให้กัน มีอะไรก็พูดคุยกัน และถือเสมือนว่าเป็นการอบรมบ่มนิสัยให้ลูกหลานด้วย"
มะลิเคยได้ยิน คุณครูดุเด็กที่ไม่มีมารยาท และอุปนิสัยแย่ ๆ ว่า " นี่เธอคงไม่เคยกินอาหารร่วมโต๊ะ ร่วมมื้อ กับพ่อแม่ญาติพี่น้องเลยละซิ  ถึงได้สอนและอบรมบ่มนิสัยยากอย่างนี้" มะลิจำได้ดี

สายแล้ว พ่อของมะลิ และมาลัยก็ยังไม่มา สักครู่ป้าละมุนเดินมาบอกว่า "พ่อโทรมานะ ว่าวันนี้ติดราชการมาไม่ได้ วันหยุดเสาร์หน้า จะมาหาให้ได้"
มะลิ มาลัยหน้าสลด ป้าละมุน เข้ามาปลอบใจ "ไม่เป็นไรน่า เสาร์หน้าพ่อเขาก็มา ไปเดี๋ยวป้าจะพาไปเที่ยวเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน อยากไปไหนกันล่ะ"
"ไม่เป็นไรคะ ป้า หนูอยู่บ้านทำการบ้านดีกว่า แล้วคืนนี้จะคอยดูฝนดาวตก ที่หลังบ้าน ทีแรกนึกว่าจะไปพักที่ทะเล ชวนพ่อนับดาวตกที่ชายหาดสักหน่อย  คุณครูบอกให้นับว่า เห็นดาวตกกี่ดวง ใช่ไหม มาลัย"  "ใช่ ๆๆ หนูก็จะดูฝนดาวตกเหมือนกัน ค่อยเจอพ่อเสาร์หน้าก็ได้ค่ะ  ป้าละมุน"
สองพี่น้องสนทนากันต่อหน้าป้าละมุน...
"ดาวตกหลังบ้านเรามองเห็นได้ดีนะ ไม่ต้องไปถึงทะเลหรอกจ๊ะ "  เสียงของป้าละมุน บอกอย่างอ่อนหวาน
เป็นที่ตกลงกันว่า คืนนี้ มะลิร้อย มาลัยกรอง ป้าละมุน คงเฝ้าดูฝนดาวตก และก็จะชวนคุณยายอังกาบดูด้วยกัน....
คุณยายอังกาบบอกว่า "ฤดูหนาว ในคืนเดือนมืดฟ้าโปร่ง  จะมีดาวมากมาย แล้วเราก็จะเห็นดาวตกมากด้วย เราจะคอยเฝ้าดูดาวตกด้วยกัน...

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

บ้านไม้ชายทุ่ง

ท่านผู้อ่าน จะได้พบกับเรื่องราวชีวิต ของบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้านไม้ชั้นเดียว
ที่ตั้งอยู่ที่ชายทุ่งนา ...สงบ ธรรมชาติสวยงาม ท้องทุ่งนาอันมีคุณค่าทางทรัพยากร...
จะมีเรื่องราวอันน่าติดตาม อย่างไร ....

ผู้เขียนหวังว่า ท่านอาจจะได้แนวคิด ในบางสิ่ง จากเรืองนี้ พอสมควร..

                                            ต้อย มีนบุรี ผู้เขียน

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไอ้สับปะรด(ต่อ)

สับปะรดได้เรียนหนังสือ และอาศัยอยู่ที่วัดจนกระทั่งเขาจบการศึกษาภาคบังคับซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า ชั้นประถมศึกษาปีที่ 7
เขาไม่ได้เรียนต่อในโรงเรียนอีก แต่เขายังทำงานรับจ้างทำทุกอย่างแล้วแต่ใครจะจ้างเขา แต่งานประจำของเขาคือ รับอาสาไปซื้อของให้ในตลาด
แรก ๆ เขาใช้วิธีเดินบ้าง ขึ้นรถโดยสารประจำที่วิ่งในหมู่บ้านบ้าง แต่เมื่อเขาเก็บหอมรอบริมเงินได้บ้าง เขาก็นำเงินไปซื้อจักรยาน ตอนเช้าเขาจะขี่จักรยานคู่ชีพและสั่นกระดิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อเรียกให้คนได้ยินเสียงและเตรียมตัวออกมาเรียกใช้เขาตามความประสงค์ เมื่อเสร็จภาระกิจแล้ว เขาก็จะเข้าไปที่วัด และช่วยงานวัดต่อไป
สับประรดได้เรียนต่อภาคการศึกษาผู้ใหญ่ จนจบการศึกษาได้ระดับหนึ่งเขาก็ยังมีอาชีพรับจ้างทำงานทั่วไป จนกระทั่ง.......
ที่ศาลากลางจังหวัด ได้ประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งนักการภารโรง
มีคนที่ทำงานในศาลากลางเห็นว่า สับปะรดเป็นคนขยัน เขาจึงสนับสนุนให้สับปะรดได้ทำงานตามต้องการ เขาได้ทำงานได้ค่าแรงในอัตราลุกจ้าง
ชั่วคราว เขาทำงานไป และเข้าห้องเรียนในวันหยุด และก็ยังรับจ้างงานเดิมเมื่อเขาว่างในวันหยุด กลางวันทำงาน กลางคืนเขาก็ท่องอ่านหนังสือ
จนเขาจบการศึกษาผู้ใหญ่ได้อีกระดับหนึ่ง
หลังจากจบการศึกษาเขาก็เปลี่ยนงานด้วยเห็นว่า งานใหม่น่าจะยั่งยืนมั่นคงกว่างานเดิม เขาไม่ได้เป็นนักการภารโรงแล้ว แต่เขาทำงานในหน่วยงานที่รับส่งเอกสาร และเป็นหน่วยงานราชการ  เขาทำงานด้วยความขยันขันแข็ง และไม่ทิ้งการเรียน เขาเรียนระดับมหาวิทยาลัยวุฒิปริญญาตรี เขาได้เลื่อนระดับการทำงานสูงขึ้นเมื่อเขาเข้าสอบเป็นการภายในปรับวุฒิการศึกษาสูงขึ้นด้วยปริญญาตรี สาขาด้านกฏหมาย และเขาก็ยังศึกษาต่อ.......

“ฉันชอบการดำเนินชีวิตของคุณนะ สับปะรด ฉันจะขอจดจำเรื่องราวของคุณไว้สอนลูกหลานในเรื่องความขยันอดทน ใฝ่ดี พยายามหาความรู้ใส่ตัวของคุณ”  ฉันบอกกับสับปะรด ในวันที่ฉันและเพื่อนเลี้ยงส่งเขา ด้วยเขาจะลาออกหน่วยงานที่ฉันและเขาทำงานอยู่
“ยินดีครับ ถ้าเรื่องราวของผมน่าสนใจ ผมก็ภูมิใจนะ หากจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครบางคนได้คิดถึง  เราคงได้พบกันอีกนะครับ แต่ระยะแรก ๆ เขาให้ผมเข้าอบรม ประมาณ 3 เดือน  ผมอาจไม่สะดวกในการพบกันนะครับ  หลังจากนั้นเราคงพบกันได้ในวันหยุด  ขอบคุณทุกคนสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้ ประทับใจครับ..”  สับปะรดกล่าวอำลา
หลังจากนั้นฉันไม่ได้พบกับเขาอีกเลย เวลาผ่านไปนาน จนหลายคนลืมว่าเคยมีเขาทำงานด้วย

แล้ววันหนึ่ง ก็มาถึง “ บ่ายวันนี้ มีคนมาขอพบ ผอ. ค่ะ  พวกพี่ ๆ รู้ไหมว่าใคร” เสียงเลขาหน้าห้อง ผอ. บอกเล่า  “จะเป็นใครหนอต้องคอยดู หนูก็ใจจรดจ่ออยากเห็นเขาจังเลย”  เธอทิ้งท้ายให้พวกฉันตื่นเต้น  ต้องเป็นใครสักคนที่พวกฉันต้องรู้จักแน่นอน
บ่ายวันนั้นก็มาถึง ชายร่างงามสูงสง่า เดินตามหลังเลขา ผอ. ตามด้วยหญิงสาวสวยอยู่ห่างพอสมควรถือแฟ้มเอกสารเดินตาม และผ่านมาทางฉันและเพื่อน และโปรยยิ้มตลอด “ นั่น....ไอ้ ..คุณสับปะรดนี่นา”  ฉันกระซิบบอกเพื่อนและมองตากัน.....
สับปะรดและเลขาเขากลับไปแล้วแต่เขายังทำให้ฉันและเพื่อน ๆ ตะลึง ในความเปลี่ยนแปลงของเขา เขางามสง่ามาก ๆ บุคลิกหน้าตาเสื้อผ้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่แต่งตัวง่าย ๆ ตามสบายเวลาทำงาน จนบางครั้งหัวหน้าเขาต้องเรียกไปตักเตือน กิริยาง่าย ๆ เวลานั่ง ยืนเดิน หรือแม้แต่เวลาที่เขากินอาหารในงานเลี้ยง สวนเสเฮฮากับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน วาจาที่เป็นแบบคนที่ใช้ชีวิตที่ต้องขับเคี่ยวอย่างเอาตัวรอด กับชีวิตเด็กวัด ตามที่เขาเคยเล่าว่า เขาต้องทำตัวแบบ "เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม และต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคม"

คงไม่มีอีกแล้ว ที่ใครๆ จะเรียกเขาว่า "ไอ้สับปะรด" ........”ท่านบอก ท่านติดธุระ ช่วงบ่าย 3 แต่นัดกับ ผอ.ไว้แล้วว่าจะมาเยี่ยมท่าน เลยต้องมาก่อนและก็คุยกันได้นิดหน่อย ต้องรีบไปตามนัดต่อ ท่านบอกว่า จะประจำอยู่ที่ กรุงเทพ สักระยะหนึ่ง แล้วจากนั้นคงไปรับราชการที่ บ้านเกิด ของท่านหรืออาจต้องเดินสายไปที่อื่น ๆ อีก...คราวหน้ามาอีก คงได้คุยกันนานกว่านี้ “  เลขาหน้าห้อง ผอ. เข้ามารายงาน

ณ สถานที่จัดงานแต่งงานแห่งหนึ่ง เมื่อได้เวลาอันสมควร พิธีกรก็ขึ้นเวที "สวัสดีครับผู้มีเกียรติทุกท่าน... ผมขอเรียนเชิญท่าน ปราณบุรี ขึ้นมาเป็นเกียรติมอบมาลัยให้คู่บ่าวสาวและกล่าวคำอวยพรด้วยครับ..." เสียงเพลงบรรเลง
ทุกคนยืนขึ้นและหันหน้าไปทางเวที ชายร่างสูงงามสง่า แต่งกายด้วยสูทหรูเรียบ สีเทาอ่อน กำลังเดินขึ้นเวที นั่น ไอ้...คุณสับปะรดนี่นา  ฉันและเพื่อนหันมาสบตากัน..
หลังจากสวมมาลัยให้คู่บ่าวสาวแล้ว....
"สวัสดีครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ได้รับเชิญ ให้ขึ้นมากล่าวคำอวยพร
คงไม่ต้องพูดอะไรมากนะครับ ผมและเจ้าบ่าวเป็นคนบ้านเดียวกัน ผมยอมรับว่าเจ้าบ่าวเป็นคนดี ขอให้ทั้งสองครองรักกันยั่งยืนตลอดไป "
เสียเพลงบรรเลงขึ้นอีก พร้อมกับเสียงแขกที่มาร่วมงานกล่าว "ไชโย ๆ ๆ " ดังขึ้นพร้อมกัน

ฉัรู้สึกประทับใจ สับปะรดมาก เขาขยัน อดทน พากเพียรพยายาม จนประสบความสำเร็จกับหน้าที่การงานอันสูงส่ง ยากที่ผู้ใดจะทำได้ดีอย่างเขา
อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีการปลูกสับปะรดมาก

ท่าน"ปราณบุรี" บุคคลตัวอย่างของฉัน

..........................................................................................





วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไอ้สับปะรด

เด็กชายกำพร้าที่ใคร ๆ เรียกเขาว่า "ไอ้สับปะรด" อาศัยอยู่กับยายชื่อ เนียน ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่มาของชื่อสับปะรด คงเป็นเพราะจังหวัดนี้มีการปลูกสับปะรดมากเป็นพิเศษ
สินค้าของจังหวัดนี้  ไม่พ้นสับปะรด ที่มีหลายรูปแบบ ทั้งกวน ทำแยม อบแห้ง ทำไวน์ ทำน้ำสับปะรด และสับปะรดกระป๋อง ก็มีโรงงานผลิตอยู่มากมาย

สับปะรดอยู่กับยายมาตั้งแต่พ่อแม่ของเขาตาย ขณะที่เขายังอายุเพียง 3 ปีเท่านั้น ยายเนียนผู้เป็นยายแท้ ๆ เลี้ยงเขามาตามประสาด้วยความยากจน  อาศัยปลูกและเก็บผักกินเหลือก็ขาย และยายเนียนยังรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป เช่นรับไปซื้อของให้ในตลาด ทำงานบ้าน เลี้ยงเด็ก ทำอาหารส่งคนงานในโรงงาน.... แล้วแต่ใครจะจ้างให้แกทำอะไร แกก็จะทำทั้งนั้น

สับปะรดเติบโตมาด้วยความรักจากยายเนียน แกจะสอนหลานเสมอให้ขยัน อดทด ซื่อสัตย์ กตัญญู
ยายเนียนให้ สับปะรดเรียนในโรงเรียนของวัดในหมู่บ้าน  มีเพื่อนเรียนเป็นเด็กวัด ทำให้เขารู้จักวิถีชีวิตของเด็กวัด เป็นอย่างดี....
ตอนอายุ 12 ปี ชีวิตของสับปะรดเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อยายเนียนแกได้ตายจากไป......หลานยายเนียนได้มาจัดการขายบ้านที่ยายเนียนอาศัยอยู่ และบอกว่าจะมารับสับปะรดไปเลี้ยงดูต่อไป

"หนูไม่ไป หนูอยู่ที่วัดนี้ก็ดีแล้ว มีเพื่อนหลายคนอยู่ที่วัด ได้เรียนที่วัด ได้เล่นสนุกสนาน ขอให้หนูอยู่ที่นี่เถอะ" สับปะรด บอกกับญาติห่าง ๆ ของตัวเอง  แม้ว่าญาติจะพยายามชวนเขาไปอยู่ด้วย เขาก็จะปฎิเสธเสมอ ๆ ด้วยเขาคิดว่า เขาถูกทอดทิ้งจากญาติมาตลอด พอยายเนียนเสียชีวิต ก็จะมารับเขาไปอยู่ด้วยญาติเหล่านั้นเขาคงเกรงคำครหา ที่มาขายบ้านเล็ก ๆ ของยายเนียน จึงจำใจต้องพาสับปะรดไปอยู่ด้วย
 
สับปะรด จึงอยู่ที่วัดมาตลอด เขาไม่มีญาติมาใส่ใจอีกต่อไป เขาสานต่ออาชีพของยายเนียน รับจ้างทำทุกอย่างตามที่ยายเนียนเคยทำ  แต่ต้องเป็นงานที่เขาทำได้ ด้วยงานบางอย่างไม่เหมาะกับความเป็นเด็กชาย

คนในหมู่บ้านมักจะจ้างให้ สับปะรดไปซื้อของในตลาด อาหาร ผักสด ของใช้อุปโภคบริโภค ให้ค่าจ้างมากน้อยแล้วแต่ความเมตตาของแต่ละคน (ยังมีต่อ)

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เจ้าเฟื่องฟู(ต่อ)

เวลาลุงสมแกทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้านพักของแก จะมีเจ้าเฟื่องฟูอยู่ใกล้ ๆ มิได้ห่าง
เจ้าเฟื่องฟูก็กินอาหารแบบที่ลุงสมกิน  ไม่ได้กินอาหารเม็ดสำเร็จรูปเหมือนสุนัขบางตัว

ทุกเช้าถ้ามีโอกาสเดินผ่านบ้านลุงสม ฉันก็จะเห็นประตูรั้วปิด แต่ยังมองเห็นว่าประตูบ้านปิดไว้ชั่วคราว ลุงสม คงพาเจ้าเฟื่องฟู ไปเป็นเพื่อนเดินออกกำลังกาย

"ลุงสม วันนี้ไม่พาเฟื่องฟูไปเดินเล่นหรือ"  เสียงป้าสำรวยคนข้างบ้านลุงสม ถามขึ้นแต่เช้า
เมื่อยังเห็นลุงสม และเจ้าเฟื่องฟู ยังมิได้ออกไปไหน
"ฉันไม่ค่อยสบาย เวียนหัวอย่างไรชอบกล ขอพักก่อน " ลุงสมบอกกับป้าสำรวย
"พักนี้ หลาน ๆ หายไปนานแล้วนะ  ไม่มาเยี่ยมบ้างเหรอ ลุง" ป้าสำรวยถาม
"เขาบอก เขามีภาระ ต้องไปต่างประเทศ คงหลายวันจะมา" เสียงลุงสมตอบอย่างเรียบ ๆ

ฉันได้มีโอกาสไปเดินเล่นในหมู่บ้านที่ลุงสมอยู่ ด้วยที่นั่นจะมีสวนสาธารณะ สำหรับพักผ่อน...แล้ววันหนึ่งฉันก็เห็นลุงสมและเจ้าเฟื่องฟู เดินเล่น... คนสูงวัยเดินจูงสุนัข บางทีสุนัขก็พาวิ่งออกข้างหน้า บ้างก็วิ่ง บ้างก็เดิน บางที่เจ้าเฟื่องฟูก็ถูกลุงสมจูง บางทีลุงสมก็ถูกเจ้าเฟื่องฟูลากโซ่ที่ถูกจูง พาลุงสมให้วิ่งเหยาะ ๆ ตามไปที่ต่าง ๆ  ภายในสวนสาธรณะนั้น มองแล้วช่างเป็นภาพที่น่ารักสดใส ร่าเริงมาก ความผูกพันระหว่างสุนัขและคนเป็นสิ่งที่ประทับใจฉันเสมอ....

เมื่อเห็นลุงสมอยู่ที่ใด ก็จะเห็นเจ้าเฟื่องฟูอยู่ที่นั่นเสมอ......ลุงสมซื้ออาหารกิน แกก็จะแบ่งเจ้าเฟื่องฟูกินบางทีเจ้าเฟื่องฟูจะกินมากกว่าแก เสียอีก ฉันเห็นลุงสมซื้อลูกชิ้นปิ้ง แต่แกไม่ได้กินแม้แต่นิดเดียว.....
ทั้งสองชีวิตลุงสมและเจ้าเฟื่องฟูมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ต้องทะเลาะ ไม่แก่งแย่ง มีแต่ให้และได้รับความรักตอบแทนอย่างเห็นได้ชัด

"เฟื่องฟูเป็นอะไรเหรอ เห่าทำไม" ป้าสำรวยพูดกับเจ้าเฟื่องฟูในเย็นวันหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าเฟื่องฟูทำท่าลุกลี้ลุกลน เห่าพลางวิ่งเข้า วิ่งออกในบ้านอยู่ไปมา เหมือนกับต้องการบอกอะไรสักอย่าง
สักครู่หนึ่ง ป้าสำรวยเริ่มไม่สบายใจ ว่าเจ้าเฟื่องฟูอาจจะต้องการบอกอะไรให้ใครสักคนรู้ ป้าสำรวยรีบตรงมาเรียกฉันที่หน้าบ้านญาติ บังเอิญนะ ที่ฉันแวะไปหาญาติพอดี "เข้าไปดูในบ้านลุงสม กับป้าหน่อย"
ฉันและป้าสำรวยเข้าไปในบ้านลุงสม เจ้าเฟื่องฟูเห็นฉันและป้าสำรวย มันแสดงความดีใจ รีบวิ่งเข้าไปในบ้านนำทางฉันเข้าไป ฉันและป้าสำรวยตกใจ ภาพที่เห็นคือ ลุงสม นอนอยู่ที่พี้นหน้าห้องน้ำ อย่างไม่ได้สติ  ป้าสำรวยเข้าไปเขย่าตัวลุงสม พลางนำยาดม มาให้ แต่ลุงสมก็ยังเงียบไม่รู้สึกตัว
"ต้องเรียกรถพาแกไปหาหมอไหมเนี่ย...เฮ้อ ..เอาไงดีล่ะ หลาน ๆ แกพักนี้ก็หายไป แกบอกเขาไปต่างประเทศกัน ทำไงดีเนี่ย..."  ในระหว่างที่แกรำพึง ฉันก็เห็นลุงสมขยับตัว "ป้า ลุงรู้สึกตัวแล้ว" ฉันเห็นลุงสมลืมตามอง
ลุงสมทำหน้า งง ๆ  แกเหลือบตาเห็นป้าสำรวยและฉัน " ฉันเวียนหัวหน้ามืด ดีนะที่ยังรู้สึกตัว เลยรีบนอนลงตรงนี้แหละ ออกจากห้องน้ำพอดี หลับไม่รู้เรื่องเลย นี่ฉันหลับนานเลยเหรอ" ลุงสมถามขึ้นเสียงเครือ "ฉันไม่รู้หรอกว่าหลับนานเท่าใด ได้ยินเสียงเจ้าเฟื่องฟู มันเห่า เลยรีบเข้ามา..." ป้าสำรวยพูดสีหน้ามีความกังวล
 "ฉันอยากให้ลุงสม ไปหาหมอบ้างนะ  ลุงต้องเป็นอะไรสักอย่าง เห็นบ่น ๆ ว่าเวียนหัวบ่อย ๆ " ป้าสำรวยยังพูดอีกหลายเรื่อง เช่น ลูกหลานก็ไม่ค่อยมาดูแล ลุงแก ก็มีแต่เจ้าเฟื่องฟูเป็นเพื่อน โถ ๆ มันก็เป็นหมา
"ไม่ ฉันไม่เป็นอะไร แค่เวียนหัวมันก็เป็นธรรมดาของคนแก่" ลุงสมยังพูดซ้ำ ๆ

จากวันนั้น ฉันก็ไม่ค่อยได้เห็นลุงสมและเจ้าเฟื่องฟูบ่อยนัก ลุงสมไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ลุงใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในบ้าน เห็นแต่เจ้าเฟื่องฟูวิ่งเล่นในบริเวณบ้านบ้าง ค่ำลงบ้านก็ปิด เช้าบ้านก็เปิด เป็นเช่นนี้อยู่ทุกวันนานหลายเดือนเชียวแหละ


วันนี้เป็นวันหยุด ฉันเดินผ่านบ้านลุงสม ตั้งใจจะไปเดินออกกำลังกาย และพักผ่อน ที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน ฉันเห็นคนมุงอยู่หน้าบ้านลุงสม ประมาณ 10 กว่าคน ฉันแปลกใจ เอ๊ะ ลุงสมมีงานอะไรทีบ้าน
มองเข้าไปในบ้านก็เห็นคนอีกจำนวนหนึ่ง ฉันหยุดอยู่หน้าบ้านลุงสม พยายามมองหาเจ้าเฟื่องฟู
และฉันก็เห็นเจ้าเฟื่องฟูเดินไปมาในบ้าน เขาทำอะไรกัน ทำไมคนเยอะอย่างนั้น....
และฉันก็เห็นป้าสำรวยหน้าตาป้าเศร้ามาก "ลุงสมแกเสียแล้ว ....เมื่อหัวค่ำวันวาน  ไม่มีใครรู้เลย
บ้านปิด เจ้าเฟื่องฟูมันร้อง เห่าหอน ทั้งคืน มันคงเสียใจและไม่รู้จะบอกคนอื่นให้ช่วยได้อย่างไร
จนเช้านี่แหละ ป้าเอะใจ เห็นเช้าแล้วแกไม่ตื่นให้เห็นหน้าเลย  ก็เลยเรียกคนเขามาช่วยงัดประตูบ้าน ก็รู้ว่าแกเสียชีวิตแล้ว "  ป้าสำรวยพูดเสียงเครือ น้ำตานองหน้า "นี่เขากำลังติดต่อญาติลุงสม  ป้าสงสารลุงสมจัง ทำไมแกไม่เชื่อป้า บอกให้แกไปหาหมอบ้างแกก็ไม่ไป"

ฉันยังยืนดูอยู่หน้าบ้านลุงสม เห็นเจ้าเฟื่องฟู เดินไปมา มันเงียบไม่เห่า มีใครเข้าบ้านกี่คนมันก็เงียบไม่เห่าเลย
ชั่วอึดใจ ฉันก็เห็นรถกะบะมาจอดหน้าบ้าน มีชายหญิง 3 คน ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในบ้าน.....
และสักครู่ก็เห็นคนในบ้านนั้น นำลุงสมใส่เปลหามออกมาจากบ้าน....ใส่รถและขับออกไป...


จากนั้นบ้านลุงสมก็ถูกปิดเงียบ ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นอีกเลย..
เจ้าเฟื่องฟูล่ะ อยู่ที่ไหน มีใครเอามันไปเลี้ยงหรือไม่..ฉันพบป้าสำรวยในเย็นวันหนึ่ง...
"ป้าสำรวย เจ้าเฟื่องฟูมันอยู่ที่ไหนเหรอ ญาติลุงสมพามันไปอยู่ด้วยหรือเปล่า" ฉันถามป้าสำรวย
"เขาไม่ได้เอามันไป มันอยู่แถวนี้แหละ เย็น ๆ มันก็มานอนที่นี่ กลางวันมันก็ตะลอน ๆ ไปที่โน่นที่นี่
และบางทีก็ไม่เห็นมันเลยทั้งวัน มาเห็นมันอีกทีก็เช้านี่แหละ เห็นมันมานอนอยู่หน้าบ้านข้างรั้ว บ้านลุงสม ป้าเคยเอามาอยู่ในบ้าน แต่เหมือนมันไม่อยากอยู่นะ มันจะออกไป แต่ตอนเย็นมันจะมานอนที่หน้าบ้านลุงสมทุกคืน" ป้าสำรวยพูดต่อ...
"เดี๋ยวนี้ มันเหมือนจะบ้า ๆ นะ เนื้อตัวมันสกปรก เป็นขี้เรื้อน ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้ มันเห็นคนมันจะดุร้าย เห่าและไล่กัดเขา นานไป เขาเห็นมันเขาก็จะเอาไม้ตีมัน มันเลยไม่ค่อยมาให้เห็น"

ได้ฟังแล้วฉันรู้สึกสงสารเจ้าเฟื่องฟูจังเลย นี่ถ้าฉันเป็นผู้ใหญ่ตอนนั้น ฉันคงเอามันมาเลี้ยงแล้ว...

ฉันได้กลับไปที่หมู่บ้านลุงสมอีกครั้ง คราวนี้ฉันเห็นเจ้าเฟื่องฟู ตัวมันสกปรกมาก ขนที่เคยฟูสวย สะอาด    เปลี่ยนไปมาก ร่วงหลุด รุงรัง และมันก็มีบาดแผลเต็มไปหมด คงเป็นแผลคันตามตัวของมัน และแผลที่ถูกสุนัขอื่นกัด    ฉันเห็นมันไล่เห่ากัด เด็ก ๆ ที่เดินเล่น และขี่จักรยานในสวนสาธารณะ มันอดโซและ คุ้ยเขี่ยอาหารกิน มันแลบลิ้นห้อยอยู่บ่อย ๆ สภาพที่ฉันเห็นทำให้ฉันสงสารเจ้าเฟื่องฟูอย่างมาก

"อย่าไปใกล้มันนะ มันบ้าแล้ว มันไล่กัดเขาไปหมด หมาด้วยกันมันก็กัดและก็แพ้ออกมาทุกที ดูตัวมันซิมีแต่แผล มันเคยชื่อเฟื่องฟู เดี๋ยวนี้มีแต่คนเรียกมัน "ไอ้เฟื่องฟุ้ง" เพราะมันบ้า "....มีคนคอยเตือนเด็ก ๆ ที่เดินเล่นอยู่แถวนั้น...

ฉันเห็นเจ้าเฟื่องฟูเดินตรงไปทึ่หน้าบ้านลุงสม มันเดินวนไปมา อยู่ตรงนั้นนานแสนนาน แล้วล้มตัวลงนอน ทอดตัวยาวนอนหลับตานิ่ง ชั่วครู่ มันก็ลุกเดินแกมวิ่งเหยาะ ๆ  วิ่งไป เหยาะ ๆ  ฉันมองตามมันเห็นมันเลี้ยวออกถนนใหญ่ ที่มีรถแล่นผ่านไปมา มันวิ่งเหยาะ ๆ ๆ ๆ ๆ จนลับตา..เกินกว่าที่จะมองเห็น......

จากนั้นฉันไม่เคยเห็น  เจ้าเฟื่องฟู อีกเลย......



..........................................

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เจ้าเฟื่องฟู

ลุงสม แกเลี้ยงสุนัขเพศผู้ ขนฟู สีไม่ใช่ขาวโพลน แต่ออกจะหม่น ๆ ตัวหนึ่งแกตั้งชื่อว่า "เฟื่องฟู" ฉันสังเกตเห็นว่าแกรักเจ้าเฟื่องฟูมาก
ตอนเช้าจะเห็นแกจูงสุนัขออกไปเดินเล่น และก็เล่นหยอกล้อกับมันจนสาย จึงกลับเข้าบ้าน
และฉันก็ไม่เห็นแกมีญาติอยู่ด้วยสักคน จะเห็นมีญาติมาหาบ้างแต่ก็นาน ๆ ครั้ง

"ชีวิตลุงสมคงเหงา" ฉันคิด แกถึงได้รักเฟื่องฟู มาก แต่เพื่อนบ้านก็ได้ยินแกบ่นอยู่บ่อย ๆ ยามที่แกต้องพาเจ้าเฟื่องฟูไปหาหมอ....... "เวลาแกป่วยฉันพาแกไปหาหมอ  แล้วเวลาฉันป่วยใครจะพาไป..."
และแกก็เคยเปรย ๆ กับเพื่อนบ้านว่า "ถ้าฉันตาย ช่วยเอาเจ้าเฟื่องฟูไปเลี้ยงด้วยนะ..." (ยังมีต่อ)

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

นรินทร์

นรินทร์ ชายหนุ่มรูปงามวัยรุ่น เป็นลูกชายแป๊ะทง ที่ขายก๋วยเตี๋ยวหมูอยู่ปากซอยทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง....
ก๋วยเตี๋ยวร้านแป๊ะทง อร่อยมาก ฉันคนหนึ่งล่ะ ที่เป็นลูกค้าประจำ มีโอกาสทีไรจะไปกินทุกที  นึกอยากจะกินก๋วยเตี๋ยวก็จะนึกถึงร้านแป๊ะทง แม้ฝนจะตกแรง ๆ ก็เคยเดินกางร่มไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านแป๊ะทง


ขณะนั้นฉันอายุ 12 ปี ฉันเห็นนรินทร์ทุกครั้งเมื่อไปร้านแป๊ะทง และได้ยินแป๊ะทงเรียกเขาว่า "นรินทร์" เขาโตกว่าฉันประมาณ 8 ปี แต่บุคลิกเขาก็ยังดูเด็ก เขาช่วยแป๊ะทงขายก๋วยเตี๋ยวโดยนรินทร์จะเป็นคนส่งให้ลูกค้าที่นั่งคอย จะซื้อกลับบ้านหรือกินที่ร้าน ก็แล้วแต่...

เวลาที่ฉันเข้าร้านและนั่งคอย เพราะส่วนใหญ่แป๊ะทง จะมีลูกค้ารอคอยอยู่แล้ว นรินทร์ ก็จะบอกฉันว่า "หนู...ต้อย คอยก่อนนะ แป๊บเดียวนะ" พอลูกค้าเริ่มซา สักพักนรินทร์ก็จะถามว่าจะกินอะไร.... แล้วก็ส่งก๋วยเตี๋ยวและน้ำดื่มตามที่ฉันสั่ง
ความอร่อยของเกี๋ยวเตี๋ยวแป๊ะทง ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง แป๊ะทงมีความเมตตาให้ฉันพอสมควร สังเกตจากรอยยิ้มและปริมาณของก๋วยเตี๋ยวที่แกให้ฉันแต่ละครั้ง กินแล้วอิ่มมาก ๆ

ฉันเป็นลูกค้าร้านแป๊ะทงหลายปี แต่ระยะหลังเวลาตารางการเรียนของฉันไม่สะดวกที่จะไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านแป๊ะทงได้บ่อย ๆ
ฉันจึงได้ห่างร้านแป๊ะทงไปบ้าง นาน ๆ มีโอกาสวันหยุดก็แวะไปที นานแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้ไป....
และวันนี้ก็เป็นวันหยุด ฉันตั้งใจจะไปเพราะคิดถึงแป๊ะทงและก๋วยเตี๋ยวของแก

เดินเข้าไปในร้าน.....ฉันไม่พบแป๊ะทง พบเพียงนรินทร์ จากคนส่งก๋วยเตี๋ยวเป็นคนปรุงก๋วยเตี๋ยว เขาเป็นหนุ่มใหญ่ขึ้นรูปร่างและบุคลิกเปลี่ยนไป เป็นผู้ใหญ่มากและดูสุขุมขึ้น
เมื่อนรินทร์เห็นลูกค้า เข้าร้าน เขาถามว่า " น้อง รับอะไรดีครับ" เขาคงจำฉันไม่ได้ วันนี้เขาเรียกฉันว่า "น้อง"
สั่งก๋วยเตี๋ยวแล้ว..ในขณะที่รอ ฉันมองไปรอบ ๆ ร้านเผื่อจะเห็นแป๊ะทงบ้าง

และฉันก็ได้เห็นแป๊ะทง แต่ไม่ใช่เป็นตัวตนของแป๊ะทง....แต่กลับเป็นรูปแป๊ะทง ที่วางอยู่บนหิ้งและมีธูปปักอยู่ในกระถางธูป
มีผลไม้และน้ำตื่มวางไว้หน้ารูปบนหิ้ง
นี่แป๊ะทงเสียชีวิตแล้วหรือ นานเท่าไรแล้ว ฉันห่างร้านนี้ไปนานมากจนไม่รู้ว่าแป๊ะทงเสียชีวิตแล้ว ....
มองเห็นรูปแล้วใจหาย.... คิดถึงสายตาหน้าตาที่เอิบอิ่มของแกได้ดี ยิ่งมองรูปแกก็เหมือนยังเห็นว่าแกยังมีเมตตาต่อฉันเหมือนเดิม

ฉันห่างร้านนี้ไปอีก วิถีชีวิตฉันเปลี่ยนไป มีภาระที่ต้องไปที่ต่าง ๆ ไม่มีเวลามาแวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านแป๊ะทงเลย
แต่ทุกครั้งที่เดินผ่านร้าน ฉันจะมองเข้าไปในร้านเสมอ การจัดร้านเปลี่ยนไป ตู้ที่ใส่ก๋วยเตี่ยวเปลี่ยนไป

หลังจากผ่านไปหลายวัน ....ฉันมีโอกาสเข้าร้านแป๊ะทงอีก ก้าวแรกที่เดินเข้าร้านฉันมองไปรอบ ๆ ร้านเปลี่ยนไปมาก
ดูทันสมัยขึ้น โต๊ะ เก้าอี้เป็นของใหม่เกือบทั้งหมด มีการแต่งผนังโดยรูปภาพ สีผนังก็ทาใหม่ด้วย สดใสขึ้นดูสว่างไสว
รูปแป๊ะทงก็ยังอยู่บนหิ้งเหมือนเดิม  .......แต่ฉันมองว่า การจัดร้านอย่างเดิมดูอบอุ่นกว่า
ฉันเห็นนรินทร์กำลังปรุงก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าเตา และก็เห็นหญิงสาวยืนคอยรับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อมาส่งยังโต๊ะลูกค้า
และก็เห็นเด็กชายเล็ก ๆ เดินเตาะแตะ อยู่ใกล้ ๆ
ฉันได้ยินนรินทร์พูดกับเด็กเล็ก ว่า "ไปเล่นข้างใน ลูก อย่ามาเกะกะ ลูก"
นรินทร์มีภรรยาและลูกแล้ว หน้าตาสวยและลูกก็น่ารักมาก

นรินทร์หันมาเห็นฉัน เขาสั่งภรรยาเขา "ไปถามพี่เขาซิว่ารับอะไร" พอเขาได้สบตาฉันเขาจึงตะโกนถามว่า "พี่รับอะไรดีครับ"
เขาก็ยังจำฉันไม่ได้ และเรียกฉันว่า "พี่"

ก๋วยเตี๋ยวเขาก็อร่อยดี แต่เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูสูตรไม่เหมือนของแป๊ะทง
โอกาสที่ฉันจะไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านแป๊ะทง ก็ห่าง ๆ ไป เพราะฉันชอบสูตรของแป๊ะทงมากกว่า

ความเปลี่ยนแปลงของ กรุงเทพมหานครมีอย่างไม่หยุดยั้ง คนที่ไปอยู่ต่างจังหวัดนาน ๆ หรือไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ท้องถิ่นบ้านเกิดของตน ถึงแม้ว่าจะเป็นบริเวณไม่พ้น กรุงเทพฯ ก็ตามเถิด  เมื่อกลับมายังถิ่นเดิม ก็จะพบความเปลี่ยนแปลงแบบแทบจะไม่เห็นของเก่าเลย ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องมีความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

ขอบอกว่านานมาก ๆ ที่ฉันไม่ได้ไปถนนที่มีร้านแป๊ะทงเลย จากการเข้าร้านครั้งสุดท้ายกับเวลานี้ห่างกันเป็น 10 ปี
เวลาผ่านไป ชีวิตใครก็เปลี่ยนแปรผัน ตามครรลองของแต่ละคน
แต่ฉันก็มีโอกาสไปที่ร้านแป๊ะทงอีก เวลาไปร้านนี้ คิดถึงตอนที่ฉันเป็นเด็ก จะกินก๋วยเตี๋ยวทีไรก็จะกินร้านนี้ ต่อให้ใครมาบอก
ว่า ร้านอื่นก็มี ฉันก็ไม่ยอมจะกินร้านนี้ร้านเดียว......

ฉันเดินเข้าไปในร้านแป๊ะทง สิ่งแรกที่ฉันมองคือหิ้ง ที่มีรูปถ่ายแป๊ะทง ยังเหมือนเดิม รูปแป๊ะทงยังมีเครื่องเซ่นบูชาเหมือนเดิมนรินทร์ดูแก่ไปมากอ้วนลงพุง ดูละม้ายคล้ายแป๊ะทงมาก....ยังยืนปรุงก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าเตา แต่หญิงผู้เป็นภรรยาไม่ได้ยืนคอยส่งก่วยเตี๋ยว แต่กลับไปนั่งโต๊ะมีลิ้นชักคอยเก็บเงิน
สาวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ นรินทร์ คอยรับชามก๋วยเตี๋ยวจากนรินทร์ส่งให้ลูกค้า คิดว่าคงเป็นลูกสาวของนรินทร์

นรินทร์เหลือบสายตาเห็นฉัน "รับอะไรดีครับ ป้า" ...เขาไม่เคยจำฉันได้เลย
ฉันกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อย ลูกค้าคนอื่น ๆ กลับไปหมดแล้ว.... ขณะรอเงินทอน
สักครู่นรินทร์เดินนำเงินมาทอนให้ฉัน " พอกินได้ไหมครับป้า มีอะไรแนะนำได้นะครับ ขายมานานครับตั้งแต่สมัยเตี่ยยังอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เตี่ยตายแล้ว  ฝีมือผมไม่ดีเหมือนเตี่ย ...นี่เป็นสูตรใหม่ของผม โอกาสหน้าเชิญอีกนะครับ"
ฉันยิ้ม..... "ก็อร่อยดีนี่ สมัยเตี่ยขาย....ฉันคงไม่เคยกิน....."

ฉันออกจากร้านแป๊ะทงแล้ว นั่งรถกลับบ้าน ระหว่างทางเห็นตึก ถนน สิ่งก่อสร้างมากมายที่เพิ่งเกิดใหม่ ๆ  คิดคำนึงถึงแป๊ะทง นรินทร์ ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนไปหมด มีแต่ฉันที่ยังคงเป็นฉันกับความทรงจำยามเยาว์
จากที่เป็นเด็กกาลเวลาค่อย ๆ ผ่าน.... นรินทร์เรียกฉันว่า "หนู"  "น้อง"  "พี่"  "ป้า"
ถ้าฉันยังมีโอกาสไปชิมก๋วยเตี๋ยวร้านแป๊ะทงอีก  นรินทร์ คงเรียกฉันว่า "ยาย"  แน่ๆ เลย

ไม่อาววววว  ไม่ไปดีก่า ไม่ไปดีก่า ฮ่า ๆๆๆ


.........

ลูกไก่- กระต่าย- เป็ดย่าง (ต่อ)

เช้าวันนั้น ฉันปล่อยลูกไก่ออกจากกรง ให้อาหาร และปล่อยให้มันเดินอยู่บริเวหญ้าที่มีน้ำค้างเกาะอยู่ นั่งดูมันกินอาหารสักพัก
ฉันเห็นว่า ยังมีแสงแดดอ่อนอยู่ จึงอยากจะให้เจ้าลูกไก่ได้อยู่นอกกรงอีกสักพัก ฉันมองไปรอบ ๆ บ้านลุงบุญและสายตาฉันก็เห็นท่อระบายน้ำขนาดใหญ่วางอยู่บริวเวณนอกบ้านกลางแจ้งและวางอยู่ตรงที่มีหญ้าพอดี ลุงบุญอาจยังไม่ใช้ประโยชน์ ฉันเห็นว่ามันเป็นวงกว้างพอที่จะเป็นที่ขังเจ้าลูกไก่เพราะ  มันออกไปไหนไม่ได้ ฉันไม่ต้องคอยดูมันว่ามันจะเดินหายไปไหน
จากนั้นฉันจึงจับเจ้าลูกไก่ทั้งหมดใส่ไว้ในท่อว่างทันที

ฉันเดินไปทำโน่นทำนี่จนเพลิน ลืมเวลาว่าฉันทิ้งลูกไก่ไว้นานเท่าใด
ครั้นพอนึกได้ ตกใจมากรีบไปยังที่ทิ้งลูกไก่ไว้......อนิจจา ลูกไก่ของลุงบุญที่ฝากฉันดูแล มันตายกันหมดทั้ง 30 ตัว !!!!
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย......ฮื่อๆๆๆๆ ฉันร้องไห้ น้ำตาเป็นสายเต็มแก้มขณะที่ก้มลงจับเจ้าตัวลูกไก่ขึ้นมาพิจารณาที่ละตัว ๆๆๆ
เห็นมันมีบาดแผลทุกตัวเหมือนโดนอะไรมากัด และมันก็ตายโดยไม่ได้หายไปไหน มันคงหนีไม่ได้เพราะมันอยู่ในบริเวณ
แคบ ๆ ที่ฉันขังมันไว้  ใครมาทำร้ายมันหรือ.... แต่ทำไมมันยังมีซากอยู่ครบทุกตัว  ฮื่อ ๆๆ ๆๆ นี่ฉันจะบอกลุงบุญอย่างไร

ลุงบุญยังไม่กลับ ช่วงเวลาที่ฉันไม่สบายใจทำไมมันนานจัง สงสารเจ้าลูกไก่ตัวน้อย ๆ กลัวความผิดที่บกพร่อง ถ้าลุงบุญรู้เรื่อง
ลุงจะว่าอย่างไร.......

แต่ฉันก็ต้องตัดหญ้าให้กระต่ายกิน ฉันนำเจ้า เฟื่องฟ้า ออกจากกรง และก็ติดอยู่ว่าต้องระวัง ดูแลมันให้ดีไม่ให้เกิดอันตรายแก่มัน  นั่งดูเจ้า เฟื่องฟ้า ใจก็คิดระแวงว่า ลุงบุญเมื่อไรจะกลับสักที ......พอเห็นว่าค่ำแล้ว ฉันก็จับ เจ้าเฟื่องฟ้า เข้ากรง

สักครู่ใหญ่.....ขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่นหน้าบ้าน   
กลับมาแล้วจ้า.....เสียงลุงบุญมาก่อนเห็นตัวเสียอีก.........
ลุงและพ่อเดินเข้าประตูรั้วมาพร้อมกัน
ฉันหันหน้าหลบลุงบุญ ...
"พ่อซื้อเป็ดย่างมาด้วย "  พ่อพูด และฉันก็รับถุงเป็ดย่างมาจากพ่อ วางไว้บนเก้าอี้นั่งข้างตัว
เป็นไง ลูกไก่ลุงกวนไหม ต้อย "  ลุงบุญูพูดแกมหยอก
ฉันเงียบไม่พูด ลุงเริ่มเห็นสีหน้าฉัน
"ไก่ ตายหมดเลยค่ะ  ฮือๆๆๆ " ฉันตอบ มันถูกตัวอะไรไม่รู้มากัด  ตายหมดเลย
"ฮะ อะไรนะ ไก่ตายหมด ตายได้ไง "  เสียงลุงบุญอุทานด้วยความตกใจ
"เป็นไง ไหนลองบอกซิ "  เสียงพ่อและลุงถามพร้อมกัน คงเป็นเพราะพ่อและลุงเห็นฉันร้องไห้ ทั้งสองจึงฟังฉันเล่าอย่าง
สงบ พยักหน้ารับบางที พูดจบฉันจึงพาพ่อและลุงไปดูที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีซากไก่เพราะฉันนำไปทิ้งหมดแล้ว
"เอาล่ะ ไม่ต้องเสียใจ คงเป็นเรื่องที่ไก่มันหมดกรรม" ฮ่า ๆๆ ลุงพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ
แต่พ่อไม่พูดอะไรเลย ฉันสังเกตเห็น่ว่าพ่อมีทีท่าตำหนิฉันแต่พ่อยังไม่พูด

เราสามคนเดินกลับจะเข้าประตูบ้าน พ่อพูดว่า "กินข้าวกันดีกว่า วันนี้พ่อซื้อเป็ดเจ้าเดิมนะ เอาเป็ดใส่จานเลย"
ฉันนึกขึ้นได้ มองไปทางเก้าอี้นั่งเล่นที่ฉันวางถุงเป็ดไว้........
ไม่มีถุงเป็ด อ้าวววววว เป็ดย่างหายไปไหน ฉันเดินดูรอบ ๆ ไปมา ก็ไม่เห็น หาเท่าไรก็ไม่เจอ แปลกใจจัง เป็ดหายไปได้อย่างไร
เสียงพ่อ " เป็ดไปไหนล่ะ เจอยังวางไว้ไหน"
เงียบ เงียบและเงียบ  อะไรกันเนี่ย เป็ดย่างหายไป

พ่อหน้าเคร่งเครียด มีอาการโกรธ หันมามองทางฉัน ด้วยสายตาดุ ๆ  แต่ลุงบุญยิ้ม ฉันหาถุงเป็ดไม่พบ
"วันนี้ ต้อยโชคไม่ดีเลย ไก่ก็ตาย เป็ดก็หาย "  ลุงบุญยังมีอารมณ์ขัน
" เอาล่ะ ไม่ต้องกง ไม่ต้องกินอะไรแล้ว ทำไมเป็นอย่างนี้ " พ่อพูดสะบัด ๆ ก่อนจะเดินไปห้องอื่น

ฉันไม่รู้ว่าพ่อและลุงหิวหรือเปล่า คิดว่าคงไม่หิว เพราะทั้งสองเข้าห้องนอนของตัวเอง และก็เงียบ
ส่วนฉันไม่หิวเลย และไม่อยากกินอะไรทั้งสิ้น...........

คืนนั้นฉันนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตื่นทีไรก็คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา...กังวล สับสน อยากร้องไห้

รุ่งขึ้นฉันตื่นแต่เช้า สักพักใหญ่ ก็คิดถึงเจ้าเฟื่องฟ้า คิดว่ามันคงจะหิวแล้ว
ฉันเดินไปที่กรง เจ้าเฟื่องฟ้า
ทำไมประตูกรงกระต่ายน้อยของฉันเปิด!!!!!
กระต่ายน้อย เจ้าเฟื่องฟ้าของฉันหายไปไหนุ
ฉันมองรอบตัว แล้วยืนนิ่ง... สักครู่ ก็เดินหาไปตามทางจนถึงประตูรั้วบ้าน
และแล้ว ฉันก็เห็นซากกระต่ายของฉัน มีแต่หัวหู และลำตัวครึ่งเดียว มันโดนกัดกินหมดไปครึ่งตัว
ฮื่อๆๆ  ๆๆ  ๆๆ  ๆๆ เสียงร้องของตัวเองปลุกทุกคนในบ้านให้ตื่น ฮื่อๆๆ ๆๆ ๆๆ

ลุงบุญผู้ใจดีบอกว่า ไก่ที่ตายเพราะฉันเจตนาดีจะให้มันถูกแสงแดดนานหน่อยเพื่อให้มันแข็งแรง
ส่วนเจ้าเฟื่องฟ้า ฉันอาจใจคอไม่ค่อยดียังว้าวุ่นกับไก่ที่ตาย ไม่มีสมาธิ ขณะที่จับเจ้าเฟื่องฟ้าเข้ากรง อาจลืมปิดประตูกรงให้เรียบร้อย
และเป็ดย่างที่หายเป็นเพราะฉันวางใจว่าวางไว้ใกล้ตัว เพราะเห็นว่าอยู่ในบ้านแล้ว ลุงคิดว่าอาจมีแมวเข้ามาคาบไปขณะที่เดินไปชี้ที่เกิดเหตุตอนเล่าเรื่องไก่ให้ลุงฟัง

ผ่านไปแล้วหลายวัน..... ฉันใจดีขึ้น แต่ยังมีความคิด "ทำไมต้องเกิดเหตุ ใกล้ ๆ กัน ด้วย
พ่อและลุงบุญ บอกว่า มีแมวดำตัวหนึ่ง  ไม่มีเจ้าของ รูปร่างปราดเปรียวมาก กระโดดสูง ขึ้นหลังคาบ้าน
...มาให้เห็นหลังจากเรื่องลูกไก่ กระต่าย และเป็ดย่าง  .....ลุงบุญคิดว่า มันมีนิสัยเกเร และอาจหิวโซในบางเวลา
มันเห็นว่าทีบ้านนี้มีเหยื่อให้มันทำร้าย มีอาหารให้มันกินยามหิวโซ มันจึงมาด้อม ๆ มอง ๆ บ่อย ๆ


อยากบอกว่าเสียใจกับลูกไก่ เจ้าเฟื่องฟ้า และเป็ดย่าง(ของพ่อ)

อนิจจา ลูกไก่-กระต่าย-เป็ดย่าง

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ลูกไก่- กระต่าย- เป็ดย่าง

ท่านผู้อ่านเคยประสบเหตุการณ์ที่ล้วนแต่ความโชคไม่ดี พร้อมกันถึง 3 เรื่องภายในวันเดียวกันบ้างไหมเคยหรือไม่ ลองอ่านเรื่องนี้ได้เลย....

ลุงบุญเป็นญาติของฉัน  ลุงมาทำงานที่ กรุงเทพ ฯ จึงมาอาศัยพักกับพ่อ อยู่หลายปี ลุงมาปลูกบ้านเล็ก ๆ ในรั้วบ้านพ่อ ลุงชอบเลี้ยงไก่ ในขณะที่มันเป็นลูกไก่เล็ก ๆ ลุงบุญมักจะฝากให้ฉันดูแลบ้าง ตอนเช้าลุงจะเอาไปปล่อยให้กินน้ำค้าง พอแดดอ่อน ๆ ผ่านไปสักพัก เจ้าลูกไก่ทั้งหมดก็จะถูกให้อยู่ในกรง  พอมันโตพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง ก็จะปล่อยให้มันอยู่นอกกรงทุกวัน ช่วงเวลาเย็น ๆ จึงต้อนให้มันไปอยู่ในกรง  ลุงบุญเก็บไข่ไก่มาให้ฉันบ่อย ๆ  แต่หากมีคนมาขอซื้อ ลุงบุญก็จะขายเจ้าไก่เหล่านั้นไป แกทำเช่นนี้กับไก่ที่แกเลี้ยงมาหลายรุ่นแล้ว...

กระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ฉันชอบ และฉันเคยได้รับของขวัญวันเกิดเป็นกระต่ายสีขาวมีลาย สีเทาอ่อนนิด ๆ และบริเวณหูของมันจะมีสีเทาเข้มแต้มอยู่บ้างเล็กน้อยสวยงามมาก ฉันตั้งชื่อให้สมกับที่มันเป็นสาวน้อยว่า "เฟื่องฟ้า" ฉันเลี้ยงมันด้วยผักบุ้งและหญ้าขน  ทุกวันเมื่อเวลาเลิกงานฉันรีบกลับบ้านแวะไปตัดหญ้าและเก็บผักบุ้งมาเป็นอาหารสำหรับกระต่ายตัวน้อยนี้ทุกวัน......ตอนเย็นฉันจะปล่อยมันออกจากกรงบ้าง แต่ก็คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้มันกระโดดหายไป .....


พ่อของฉันเป็นคนชอบกินเป็ดย่าง พ่อมักจะซื้อเป็ดย่างอร่อย ๆ มาให้ลูก ๆ กินเสมอถ้าพ่อมีโอกาสได้ไปร้านที่พ่อบอกว่าเป็ดอร่อย อาหารมื้อเย็นจะอร่อยมากถ้าได้กินเป็ดย่างที่พ่อซื้อมา


วันหนึ่งเป็นวันที่ฉันต้องจำโดยไม่อยากจำ..
เช้าวันนั้น เป็นวันหยุด ลุงบุญไม่อยู่บ้านและแกก็กำลังเลี้ยงลูกไก่รุ่นใหม่แทนรุ่นเดิมที่แกเพิ่งจะขายไป
แกจึงฝากให้ฉันดูแลไก่ของแก
"ตอนเช้าปล่อยให้มันออกจากกรง ให้มันมาเดินเล่นตรงหญ้าที่มีน้ำค้างนะ ให้อาหารที่ลุงวางไว้ให้อยู่ในกล่องนี้นะ และพอสายแดดเริ่มแรงก็จับมันไว้ใส่กรง"  ลุงบุญสั่งก่อนออกจากบ้านไปทำธุระแต่เช้ามืด.....
(ยังมีต่อ...)

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

เสนาะ - สนั่น

จันทร์แรม เป็นเพื่อนที่ทำงาน เธอแต่งงานแล้วมีบุตร 2 คน สามีชื่อเสนาะ เป็นคนดีรับผิดชอบครอบครัวดีมาก
เธอมักจะมีเรื่องสามีและลูกมาเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนร่วมงานเสมอ ๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องน่ารักดี ๆ ดูดีจนเพื่อน ๆ พากันอิจฉา......
 
แต่ก็มีวันหนึ่งที่เธอนำเรื่องไม่สบายใจมาปรักษาฉัน.....
"หนูไม่สบายใจ เรื่องแฟน หนูว่ามันไปมีกิ๊กใหม่  แต่เป็นแฟนเก่าที่มันเคยคบกัน แล้วเลิก แต่วนมาเจอกันอีก"  จันทร์แรม พูดให้ฉันฟังในระหว่างที่เราทำงาน   ฉันมองหน้าและพยายามค้นหาว่า จันทร์แรมพูดเล่นหรือจริง  แต่ต้วยสีหน้าของเธอ ฉันก็อ่านออกว่าเธอกำลังกลุ้มใจ จริง ๆ
"เหรอ แล้วรู้ได้ไง หรือเขาทำให้เห็น ไปเจอเขาอยู่ด้วยกันหรือไง "  ฉันถาม
"แน่นอนว่าจริง... คุณเสนาะ เวลาเข้าเวรกลางคืน เขาแอบไปเจอกันหญิงคนนั้น คิดว่าเราไม่รู้  มีคนบอกค่ะ หนูเชื่อว่าเรื่องจริง เพราะคุณเสนาะ เปลี่ยนไป ..."  "คิดว่าเราเป็นจันทร์แรมล่ะซิ  เป็นแค่ชื่อ
เท่านั้นนะ ขอบอก "
หล่อนรำพันต่อ " คอยดูนะ จะแผลงฤทธิ์ ซะให้รู้จัก.."

มินานข่าวที่จันทร์แรมบอกว่า คุณเสนาะผู้เป็นสามี ไปมีหญิงอื่นก็แพร่กระจายไปทั่วในหน่วยงาน  ด้วยเธอจะนำเรื่องไปบ่นแกมปรึกษา เพื่อนคนโน้น คนนี้ จนเป็นข่าวและไม่เป็นความลับอีกต่อไป
 จันทร์แรม สีหน้าไม่สบายใจ ฉันคิดว่าเธอคงมีปากเสียงกับสามี บ่อยครั้งด้วยเรื่องนี้
เธอทำงานอย่างไม่มีสมาธิ เดี๋ยวหายไป ๆ ไม่ค่อยอยู่ติดโต๊ะทำงาน..
ผู้บังคับบัญชา เรียกจันทร์แรมไปพบวันหนึ่ง ไต่ถามถึงสาเหตุ ที่เธอขอลาพักผ่อน 3 วันติดกัน
หลังจากที่ได้คุยกันแล้ว จันทร์แรม ก็ออกจากห้องมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง
"หนูขอลาพักผ่อนไปเคลียปัญญาเรื่องคุณเสนาะ  ต้องเอาให้เด็ดขาด ไม่งั้นทำงานไม่ได้ ไม่สบายใจ"

เวลาผ่านไปแล้วครบ 3 วัน จันทร์แรม ก็มาทำงานตามปกติ....
วันแรกที่มาทำงาน เธอมีสีหน้าเคร่งขรึม เพื่อน ๆ เดาไม่ออกว่า เธออารมณ์อย่างไร วันนั้นจันทร์แรม ทำงานเงียบ ๆ ไม่พูดคุยกับใคร ใครถามอะไร เธอก็ตอบคำ  แบบถามคำตอบคำ......
วันที่สอง จันทร์แรมมาทำงานแต่เช้า แต่ขอลากลับบ้านครึ่งวัน เธอบอกว่าเธอเคลียปัญหาของเธอยังไม่เสร็จ เพราะตลอดเวลาที่เธอลาพักผ่อน เธอไปเฝ้าสามีเธอที่ทำงานของเขา แต่ไม่ได้ผลเพราะในช่วงนั้นเขาแลกเวรกับเพื่อนที่ทำงาน ทำให้เขาอยู่เวรกลางวันติดกัน 3 วัน ...พอวันที่ 4 และเป็นวันแรกที่จันทร์แรมต้องมาทำงานคุณเสนาะ ผู้สามี ต้องเข้าเวรกลางคืน ติดกัน 3 คืน  เธอจึงต้องลางานครึ่งวันเพื่อปฏิบัติภาระกิจเฝ้าสามีต่อ...

รุ่งขึ้นจันทร์แรม มาทำงานแต่เช้าหน้าตาค่อนข้างเคร่งเครียด เวลาผ่านไปจนเลยเวลาพักเที่ยง จันทร์แรมหายไปครู่เดียวก็กลับเข้ามาทำงาน เพื่อน ๆ และฉันเข้าไปทัก "จันทร์แรม กินข้าวแล้วเหรอ สบายใจบ้างหรือยัง คุณเสนาะ เป็นอย่างไรบ้าง เคลียกันเข้าใจกันหรือยัง...."

"เมื่อคืน หนูไปถึงที่ทำงานของเขาเลย ไปอาละวาดมาเรียบร้อยแล้วพี่..ถือมีดไปด้วย ไปประกาศลั่นที่ทำงานเขาเลยล่ะ  หนูบอกว่าหนูเป็นเมียคุณเสนาะ มีลูกด้วยกัน 2 คน ลูกกำลังเรียน ครอบครัวมีความสุขมาก ๆ ใครอย่ามาเป็นมือที่ 3  ทำลายความสุขในครอบครัวหนู".....จันทร์แรมเล่าด้วยอารมณ์แค้น..
"เพื่อนร่วมงานตกใจกันใหญ่ ว่ามีเรื่องอะไรกัน เขาเห็นหนูถือมีดด้วย เพื่อน ๆ เขามาบอกว่าให้ใจเย็น ๆ มีอะไรคุยกันได้  สักครู่คุณเสนาะก็มาเห็นหนูเขาก็ตกใจมาก  ว่าหนูมาทำไม "
"หนูก็เลยถือโอกาสเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เพื่อนฟัง ต่อหน้าคุณเสนาะ และเขาก็พากันพูดว่า เรื่องต่าง ๆ นั้น เป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ เขาไม่อยากเข้ามายุ่ง แต่ที่เขาเห็นพฤติกรรม คุณเสนาะเป็นคนทำงานดี รับผิดชอบดี ไม่เหลวไหล ตรงต่อเวลามาก  เรื่องนอกลู่นอกทางบ้างกับครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายต้องมีบ้าง
แต่เขาขอให้หนูสบายใจ มีอะไรเกินเลยมากจนทำให้ครอบครัวเดือดร้อน เขาจะบอกให้หนูรู้ทันที "
จันทร์แรมเล่าเรื่องแต่อารมณ์ของเธอไม่ดีขึ้นเลย  " เพื่อนคุณเสนาะยังบอกว่า การที่หนูมาเฝ้า ทำให้เสียงานเสียสุขภาพ ให้หนูกลับไปพักผ่อนดูแลลูกดีกว่า..."  "ผู้ชายเขาก็เข้าข้างกันอย่างนี้แหละ"  จันทร์แรมยังทิ้งท้ายคำพูดไว้ อย่างโมโห...
"อีตาเสนาะ.ยังต่อว่าหนูต่าง ๆ นานา ว่าหนูไม่ให้เกียรติเขาทำให้เขาอายเพื่อน ไม่ให้หนูเอาเรื่องในครอบครัวมาเล่าให้ใครฟัง  เขาไม่ยอมให้เพื่อนมาตัดสินความไม่ดีของเขาเพราะหนูไปก่อกวน เขาบอกว่าให้หนูหยุด ..เขาบอกเรื่องระหว่างเขากับหนูเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ให้ใครเขามายุ่งเด็ดขาด " ..จันทร์แรมพูดระบายอารมณ์....

เวลาผ่านไปอีก วันนี้เป็นวันศุกร์ วันที่เราทำงานกันเป็นวันสุดท้ายของสัปตาห์ พรุ่งนี้เราจะหยุด 2 วัน
ช่วงเวลาบ่าย 2 โมง จันทร์แรมเดินมาหาฉัน พร้อมกับบอกเหมือนขอร้องให้ฉันทำอะไรบางอย่าง
"พี่ต้อย ช่วยอะไรหนูอย่างได้ไหม "  ฉันมองจันทร์แรม พร้อมกับนึกถึงคำบอกเล่าของจันทร์แรม ว่าคุณเสนาะคาดโทษไว้อย่างไร........." มีอะไรอีกเหรอ พี่ไม่กล้ายุ่งหรอก เดี๋ยวคุณเสนาะจะมาเคืองพี่"
"หนูรับรองว่าไม่ให้พี่เดือดร้อน พี่เชื่อหนูนะ"   มีเพื่อน ๆ  หลายคนได้ยินฉันพูดกับจันทร์แรม
และก็มีหลายคน ที่กล่าวว่า พี่ช่วยจันทร์เขาหน่อยแล้วกัน มันปรึกษาหลายคน เขาเห็นว่าพี่เป็นผู้ใหญ่ คุณเสนาะเขาไม่กล้าว่าพี่หรอก จันทร์ฯ กว่าเขาจะมาให้พี่ช่วย เขาปรึกษาหลายคนแล้ว ทุกคนก็ลงความเห็นว่าพี่ต้อย เหมาะสุด.......
เอาละซิ งานเข้าอีกแล้ว " พี่ไม่อยากยุ่ง พี่บอกแล้ว เรื่องครอบครัวพี่ไม่น่าจะไปเกี่ยวเลย..."
พี่ต้อย หนูเห็นว่ามีพี่คนเดียวเท่านั้นที่เหมาะ  นะพี่นะ "  จันทร์แรม อ้อนวอน ให้ฉันช่วย
สักพัก ฉันก็ถามว่า จะให้ช่วยอะไร.....

จันทร์แรมยิ้มและเพื่อนหลายคนก็ยิ้ม  " คืนนี้วันศุกร์ พรุ่งนี้คุณเสนาะหยุด เชื่อเถอะเข้าเวรคืนนี้ เขาออกเวรเขาต้องนัดกับยัยคนนั้นอีก  พี่ต้อยโทรไปที่บ้านแกล้งทำเป็นว่า พี่เป็นผู้หญิงคนนั้น และโทรมาหาคุณเสนาะพูดย้ำว่าเรานัดกันนะ พี่จำได้ป่าว อะไรทำนองนี้ พี่ต้อยทำหน่อยนะ"  จันทร์แรมบอกเรื่องที่ให้ฉันช่วย ..
"หนูจะจับให้ได้คาหนังคาเขา ว่ามันยังติดต่อกันไม่เลิก คอยดูนะหนูจะทำให้ถึงที่สุดเลย"
"จับไม่ได้หรอกพี่ นะ ช่วยหนูหน่อย..นะ นะ นะ " โทรจากเบอร์ที่ทำงานเข้าบ้าน เขาไม่รู้หรอก "  ว่าพลางจันทร์แรมก็หมุนโทรศัพท์ไปที่บ้านทันที
"ติดแล้วพี่ต้อย  เดี๋ยวถ้าคุณเสนาะรับพี่พูดเลยนะ"   จันทร์แรมส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน  เพื่อนหลายคนมุงพากันลุ้น ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร
เอาล่ะ จวนตัวขนาดนี้ ก็ต้องทำแล้วล่ะ  ฉันรับหูโทรศัพท์..

"สวัสดีครับ พูดสายกับใครครับ...."
"พี่...เรานัดกันคืนนี้ ที่เดิมนะพี่นะ  เวลาเดิม ใช่ป่าว..."
เสียงจากสายเงียบไปอึดใจ.... "ใครครับใครนัดกับใคร คุณเป็นใครครับ"
ฉันใจเต้นตึกตัก "ก็นัดกับพี่ไงคะ "  "ไม่ใช่ครับผมไม่ได้นัดใคร คุณเป็นใครครับ..."
ฉันหันหน้าพยักพะเยิดทำบุ้ยใบ้ใส่จันทร์แรม และเพื่อน  ๆ สีหน้าทุกคนตื่น ว่าฉันจะจัดการอย่างไร
ในฉับพลัน "อ้าวววว ไม่ใช่พี่เหรอคะ ขอโทษค่ะ นั้นใครพูดคะ"   ....ฉันถาม...
"ผมเสนาะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ"
ฉับพลันอีกเหมือนกันความคิดก็บังเกิด " อุ๊ย ขอโทษค่ะ นึกว่าเป็น คุณสนั่น ต้องการพูดสายกับคุณสนั่น นั่นไม่ใช่บ้านคุณสนั่นเหรอคะ"   ฉันเห็นเพื่อนที่ยืนลุ้นอยู่รอบตัว  กลั้นหัวเราะ
" ไม่ใช่ครับ ไม่เป็นไรนะครับ "
"งั้นขอโทษค่ะ นึกว่าบ้านคุณสนั่น  ขอบคุณสวัสดีค่ะ "  ฉันนึก..เกือบแล้วไหมเรา !!!!!!!
ฉันเห็นจันทร์แรม ทำหน้าปุเลี่ยน ๆๆ

พอวางสายโทรศัพท์ เพื่อน ๆ ที่ยืนลุ้น หัวเราะกัน ครื้นเครง
พี่ต้อยนี่ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งจริง ๆ  ฮ่า ๆๆๆ  ๆๆๆ
คิดได้ไงเนี่ย..เสนาะ-สนั่น....ฮ่า ๆๆๆ  ๆๆๆ

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

เสียงใคร

ครั้งหนึ่งฉันเคยไปดูศพไม่มีญาติ ที่สถาบันนิติเวช เหตุผลที่ไปดูเพราะต้องการหาประสบการณ์ หรือบางทีอาจทราบว่าศพเหล่านั้นเขาเป็นญาติใครจะได้บอกกล่าวให้เขาไปรับศพ....

ในครั้งนั้นสถาบันนิติเวช จะติดภาพศพที่พบ และจะทำการตกแต่งใบหน้าศพโดยพยายามให้คงสภาพดีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วติดประกาศให้ผู้ที่พบเห็นแจ้งว่า ศพเหล่านั้นใครเป็นญาติเขาและญาติอยู่ที่ใด....

ช่วงพักเที่ยง หลังจากเสร็จสิ้นการรับประทานอาหาร ฉันและเพื่อนอีก 4 คน นัดแนะกันไปดูศพที่สถาบันนิติเวช ใจหนึ่งก็เกรงกลัว อีกใจหนึ่งก็อยากไป อยากมีประสบการณ์ว่าเขามีการประกาศหาญาติศพ อย่างไร
เมื่อไปถึง ก็เขาไปดูที่ประกาศที่เขาติดภาพศพไว้ จะมีการบอกว่าเป็นชายหรือหญิง อายุ พบศพที่ใด ตายด้วยสาเหตุใด ซึ่งจากการชัณสูตร ไม่พบเอกสารใด ๆ แสดงที่มาของศพเหล่านั้นว่าเป็นใคร
มองอยู่หลายภาพ แต่มีภาพหนึ่งที่ฉันมองเป็นพิเศษ เป็นชาย สาเหตุการตาย ถูกรถไฟเฉี่ยวบริเวณริมทางรถไฟ หน้าตาศพบูดเบี้ยวมีแผลฉกรรจ์ และมีรอยเย็บจากการตกแต่งศพเต็มไปหมด
ภาพศพนี้ยังฝังใจติดตามฉันเรื่อยมา จนกระทั่งกลับบ้าน

คืนนั้นอากาศเย็นแต่ไม่มาก เพราะมีฝนตกพรำ ๆ  ฉันเข้านอนแต่ก่อนนอนก็ไม่ได้คิดนึกอะไร
ยังไม่หลับ เพราะนอนเท่าไรก็ไม่หลับ...
ฉันพยายามหลับ โดยหลับตาข่ม สักครูใหญ่ ได้ยินเสียงใครมาเรียกอยู่ข้างหู ฉันนอนอยู่คนเดียว
แต่ทำไมมีเสียงมาเรียกข้างหู "ต้อยยยยยยย"
ฉันลืมตาลุกขึ้นนั่ง พยายามหาที่มาของเสียง เป็นเสียงผู้ชาย ไม่เห็นว่าเป็นใคร....พอฉันล้มตัวลงนอนและหลับตา ก็มีเสียงเรียกเหมือนเดิมอีก "ต้อย ต้อยยยยยย" คราวนี้เรียก 2 ครั้ง....
เอาล่ะซิ  เสียงใครกัน ฉันคิด ใจเริ่มคิดถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวัน ...เหตุการณ์ที่สถาบันนิติเวช
นึกกลัวขึ้นมาฉับพลัน ลุกขึ้นนั่งพนมมือ "ไปที่ชอบ ที่ชอบเถอะ แล้วจะทำบุญไปให้...."
แต่ฉันก็ยังนึกถึงเรื่องจริงที่อาจเป็นไปได้ หรือมีใครมาเรียกที่นอกบ้าน จึงมองออกไปที่นอกหน้าต่าง
พบแต่ความมืด ไม่มีใครเลยและก็ดึกมากแล้วด้วย...
เมื่อไม่พบใครฉันจึงเดินไปลองเปิดประตูบ้านดู พอฉันเปิดออกไป มีลมกรรโชกเข้ามา เย็นมาก ๆๆๆ และมีกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ไทยลอยเข้ามาด้วย ลม ทำให้ประตูเปิดปิดไปมา พะเยิบ ๆๆ  ทั้ง ๆ ที่ ลมภาย
นอกด้านอื่น ไม่มีเลย มีแค่ช่วงประตูเท่านั้น
เมื่อลมสงบ ฉันปิดประตูแล้ว ฉันรู้สึกกลัวสุด ๆ ฝืนใจ เดินไปหยิบธูป และจุด 1 ดอก นั่งลงไหว้อยู่ที่หน้าประตู " ไปที่ชอบ ที่ชอบเถอะ แล้วจะทำบุญไปให้ "....คืนนั้นผ่านไป.....

วันรุ่งขึ้นไปทำงานตามปกติ ไม่เห็นเพื่อนที่ไปด้วยเมื่อวานพูดอะไร ทุกคนเงียบผิดสังเกต จนกระทั่ง เวลาบ่าย
" มีใครเจออะไรหรือเปล่าเมื่อคืน ..หลังจากที่ไปนิติเวช "  ฉันสะดุ้ง  "มีซิเจอเมื่อคืน กลัวแทบแย่"
แล้วฉันก็เล่าเรื่องราวให้เพื่อนฟัง " นี่แหละ เขาว่าคนจิตอ่อน เขาก็จะมาหาได้ เธอดูภาพศพตั้งหลายศพ และนึกออกไหมว่า ศพไหน ที่มาหาเธอ นึกแล้วล่ะ ว่าต้องมีคนเจออะไรบ้าง "  เพื่อนคนหนึ่งถาม
หลายคนมองฉันทำตาปริบ ๆ " เธอคงไม่อยากนึกถึงอีกแล้ว กลัวววววว " ...เพื่อนคนหนึ่งพูด

ฉันไม่ตอบ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าศพใด ใครที่มาหาฉันเมื่อคืน  และไม่อยากนึกอีก เขาคงอยากเจอญาติเขา และคงเป็นดวงวิญญาณที่ล่องลอย ฉันขออุทิศส่วนกุศลบางส่วนให้เขา และช่วยนำทางให้เขาได้พบญาติเขา เพื่อวิญญาณเขาจะไปสู่สุขคติด้วยเถิด

ใครก็ว่าฉันเป็นคนแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ จริงหรือ แล้วที่ว่าจิตอ่อนจะเจอวิญญาณได้ง่ายล่ะ มันจริงหรือ....ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ซึ่งฉันประสบด้วยตนเอง และจะนำมาเขียนเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป......

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อะไรในสายหมอก

เช้ามืดวันหนึ่ง ประมาณ ตี 5 กว่า ๆ เห็นจะได้ ฉันตื่นแต่เช้าลุกขึ้นไปใช้ห้องน้ำที่หลังบ้าน ซึ่งมองไปเป็นทุ่งนา และเป็นช่วงที่ชาวนาพักการทำนาเพื่อปรับดินไว้ปลูกข้าวรุ่นใหม่....
                อากาศยังมืดสลัวและเหมือนกับมีหมอกค่อนข้างมาก เพราะมองออกไปยิ่งไกลก็ยิ่งเห็นความมัวหม่น....ทันใดนั้นฉันก็เห็นคนเดินเป็นแถว นับได้ 13 คน มีทั้งหญิงและชาย แต่ละคนแต่งตัวธรรมดา แบบชาวนาย่านนั้น...
                 ฉันมองออกไปและก็พร้อมกับมีคำถามในใจ  เขาไปไหนกันเหรอ ทำไมไปกันแต่เช้าดูซิ เดินกันเป็นสายเลย เขาทั้งหมดเดินอยู่บนคันนา ซึ่งไกลออกไป และไกลออกไป
                อีก 3 คนจะสุดขบวนแถว  ฉันเห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยสีกากี แต่แต่งแบบตามสบายไม่เป็นพิธีการ ข้างหน้าชายคนนี้ มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเร็วมาก แต่เป็นท่าเดินแบบ งก ๆ เงิ่น ๆ เดินตามคนอื่นอย่างเร่งรีบ เดินไปและก็ตกคันนาไป เดินไปตกไป ทุกครั้งที่เดินตก ชายคนใส่เสื้อเหมือนสีกากีก็จะใช้ร่มที่มีด้ามแหลม ตีให้หญิงชราคนนั้นลุกขึ้นเพื่อเดินต่อ ด้วยความมืดทำให้ฉันต้องเพ่งมองดูอยู่นานพอสมควรด้วยความสงสัย
แต่ไม่รู้จะพูดคุยกับใคร เนื่องจากขณะนั้น ทางบ้านฉันยังไม่มีใครตื่นนอนเลยสักคน
               ช่วงเวลาที่ผ่านไป ภาพที่เห็นทำให้ฉันถามอยู่ในใจว่า ทำไมหญิงชราคนนี้ดูว่าเป็นคนสูงอายุมากแล้ว คิดว่าไม่น้อยกว่า 80 ปี ร่างกายดูชรามาก  แต่ทำไมท่วงท่าเวลาเดินจึงเดินเร็วมากจึงทำให้แกเดินผิดพลาด ตก ๆ หล่น ๆ และเวลาที่แกถูกตีให้ลุกขึ้น แกจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็เดินต่อ ตกและก็ถูกตีและลุกขึ้นอย่างเร็วเดินต่อ เป็นอย่างนี้ตลอดทาง ตลอดสายตาที่ฉันเห็น
               หลายคนที่เดินหน้า-หลังหญิงชราคนนี้ ไม่มีใครใส่ใจกับการที่ชายคนนั้น ตีหญิงชราเลย
ช่างน่าสงสารหญิงคนนี้ จริง ๆ ฉันมองตาม..ทั้งหมดเดินเป็นแถวหายไปในสายหมอก จนฉันมองไม่เห็น
....ฉันเข้าไปนอนต่อ แต่ไม่ได้หลับเลยแม้แต่น้อย
               ทุกคนตื่นสายเพราะเป็นวันหยุด ฉันพยายามคิดด้วยตนเองว่า ที่ฉันเห็นอาจเป็นเพราะเขาเหล่านั้นต้องรีบไปธุระ แต่ภาพที่หญิงชราถูกตีแรง ๆ มีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ และพยายามจะลืม...
          
               หลายวันต่อมา....ทุ่งนาแถวนั้นมีงาน ได้ยินเสียงดนตรีไทยเศร้า ๆ  ลอยตามลมมาเป็นระยะ ๆ และเห็นผู้คนมากมายเดินไปมา ระหว่างทางไปยังบ้านหลังหนึ่ง มีกอไผ่ล้อมรอบ มองผ่านเข้าไปใกล้ ๆ จึงจะเห็นว่ามีบ้านหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่โตมาก แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยต้นไม้ ร่มรื่นมาก มีบ่อน้ำเล็ก ๆ อยู่กลางความร่มรื่นนั้น มีไม้พันธุ์ มากมายแต่ส่วนใหญ่เป็นไม้ผล  มีกองฟางอยู่ข้างบ้านและมีควายอยู่ในคอก
ฉันได้มีโอกาสผ่าน....บรรยากาศอย่างนี้อบอุ่นเป็นธรรมชาติดีจริง ๆ
                คนหลายคนเดินเข้าออก แต่งตัวสีเรียบ ๆ ขรึม ๆ และส่วนใหญ่ เป็นสีดำ
               " เขามีงานศพนี่นา "  ฉันบอกกับแม่ ...  ."ยาย..คนแก่บ้านนี้ตายมา 3-4 วันแล้ว นี่เขามีงานสวดศพที่บ้านเลยนะเนี่ย.."  แม่บอก  " ญาติ ๆ เขาบอกว่าแกมีสมบัติเยอะ ที่นาแถวนี้เป็นของแกทั้งนั้นรวยมาก ขี้เหนียว ห่วงหวงสมบัติด้วย เขาเล่ากันว่าแกป่วยทรมานนานมาก.."  แม่พูดต่อ..
                ฉันไม่พูดอะไรเลย..ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้เล่าให้แม่ฟังในสิ่งที่ฉันเห็นเมื่อวันก่อน
ใจหนึ่งก็คิด สิ่งที่ฉันเห็นเช้ามืดวันนั้น มีใครมาพายายคนแก่นี้ไปยังโลกอีกโลกหนึ่งใช่หรือไม่
มีคนเคยเล่าว่า คนใกล้จะถึงเวลาแตกดับ จะไม่ทรมานและจะไปได้ง่ายหากไม่มีความกังวลห่วงใย และเวลาจะไปจะมีคนมารับไปโดยสะดวก...

              ทุกวันนี้ ก็ยังตอบคำถามให้ตัวเองไม่ได้ว่า ....อะไรในสายหมอก...     

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เพื่อนตาย

จิรา บ้านเดิมเป็นคนต่างจังหวัด  เธอเข้ามาเรียนต่อที่ กรุงเทพ โดยอาศัยอยู่กับอาชื่อ นิภา...จิราเล่าให้ฉันฟังเสมอ ๆ ว่าอานิภาเป็นคนเจ้าระเบียบและเป็นคนประหยัด ค่าใช้จ่ายของจิรา อานิภาจะเป็นคนดูแล การอยู่อาศัยในบ้าน อานิภาจะกำหนดเวลาเข้าออกบ้าน จนบางครั้งจิรามักจะถูกดุเสมอ เมื่อผิดเวลากลับบ้าน
           ฉันและจิราสนิทสนมกันมาก ใครเห็นฉันต้องเห็นจิรา เพื่อน ๆ บอกเราเป็นเงาต่อกัน เราพูดกันหยอกล้อกันเสมอว่า เราจะเป็นเพื่อนตายต่อกัน....ถ้าไม่มีเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นเสียก่อน ฉันและจิราอาจคบหากันทุกวันนี้....
           วันนั้นเป็นวันที่สมาคมศิษย์เก่า จัดงานการกุศลหารายได้เพื่อเป็นทุนช่วยเหลือเด็กกำพร้า ทางสมาคมศิษย์เก่า ได้จัดให้มีคอนเสริดของวงดนตรีชื่อดังวงหนึ่ง และมีภาพยนตร์ฉายอีกหนึ่งเรื่อง มีค่าบัตรในราคาที่ไม่แพง นักเรียนสามารถเข้าร่วมงานได้โดยไม่เดือดร้อนเลย.....
            ใกล้วันงานเพียงหนึ่งวัน ฉันและจิรานัดแนะกันอย่างมั่นเหมาะ ว่าจะพบกันระหว่างทางก่อนมาที่งาน  เรามีคำสัญญาต่อกันว่า "จะคอยที่จุดนัดพบจนกว่าจะเจอกัน"
แล้ววันงานก็มาถึง....ฉัน รู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ จะได้ชมการแสดงดนตรี ซึ่งน้อยนักที่จะมีโอกาสได้ชม ..ฉันออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อจะไปพบจิราเวลา 7.00 น.  เมื่อไปถึงจุดนัดพบก็ยืนคอยจิรา นานแสนนาน จิราก็ยังไม่มา สมัยนั้นไม่มีความสะดวกในการสื่อสารเช่นทุกวันนี้  ไม่มีโทรศัพท์มือถือติดต่อกันได้...ฉันยืนคอยจิรา ที่จุดนัดพบ จนรถเมล์คันทึฉันโดยสารมา วิ่งผ่านไปกลับ 2 -3 เที่ยว สังเกตได้จากพนักงานเก็บค่าโดยสารจำฉันได้และจะมองตรงมาบริเวณที่ฉันยืนทุกครั้งที่รถเมล์คันเดิมผ่าน...
              เวลานานเท่าไรแล้ว รู้แต่ว่ามันนานมาก ๆ ทั้งหิวทั้งเมื่อย ทั้งกังวล เพราะการรักษาสัญญา ว่า จะคอยจนกว่าจะเจอกัน....จนในที่สุด ฉันทนไม่ไหว จึงได้นั่งรถเมล์เดินทางต่อไปที่งาน....
ที่หน้าประตูทางเข้างาน ฉันเห็นนักดนตรี นักร้อง และหลายคนขนเครื่องดนตรี เดินออกมาจากห้องที่จัดงาน  นี่เขาเลิกแสดงกันแล้วเหรอ....
             ฉันเดินเข้าไปข้างในซึ่งเป็นโรงหนัง มืดมาก เขากำลังดูหนังกันอย่างสนุกสนาน ฉันเดินไปยังที่นั่ง  นึกเป็นห่วงจิรา ว่าทำไม ไม่มาตามนัด หรือ เธอป่วยเป็นอะไรไปหรือเปล่า...
ที่นั่งใกล้ ๆ ฉันไม่ใช่จิรา แต่เป็นใครที่ฉันไม่รู้จัก....ใจฉันสับสนไปหมด เป็นห่วงจิรา ว่าเธอเป็นอะไร
ได้เวลาพัก..ครี่งเวลา คนในโรงหนังพากันออกมาบ้าง มีการเดินกันบ้างภายใน  ไฟสว่างขึ้นฉันมอง
หาจิรา  ว่าเธอจะนั่งอยู่ที่ใด หรือไม่
แล้วฉันได้เห็นจิรา นั่งคลอเคลียกับหนุ่มหนึ่ง...ข้างหน้าฉันไกลออกไปประมาณ 5 แถว 
อ้าว...นั่นไงจิรา เธอมานี่นา แล้วทำไมไม่เจอฉันและทำไมนั่งห่างฉัน ฉันพลาดการชมดนตรี จิราไม่มาตามนัด ปล่อยให้ฉันยืนคอย วันนั้นฉันดูหนังไม่รู้เรื่อง และจำไม่ได้ว่าดูหนังชื่อเรื่องอะไร ....กลับบ้านและหมดคำถามสำหรับจิรา.....

รุ่งขึ้นเป็นวันเปิดเรียน ฉันไปที่โรงอาหารที่มักจะเป็นที่ชุมนุมของพวกเรา ก่อนเข้าห้องเรียน ฉันซื้ออาหารมากิน ในกลุ่มเพื่อนหลายคน...สักครู่จิราเดินมาหาฉันเรียกฉัน  แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไร นั่งกินอาหารจนหมด ไม่ได้สนใจว่าจิราพูดอะไร  แค่รู้สึกว่า หูอื้อ ตาลาย ตาขุ่นมัวและมีน้ำอุ่นไหลออกมาจากตา... เมื่อจิราผ่านไปแล้วเพี่อนในกลุ่ม พากันพูดกับฉันหลายคน "จิราคบไม่ได้ เห็นแก่ตัว อยากบอกเธอนานแล้ว..พอมีผู้ชายควงลืมเพือน .วันมีงาน จิราแต่งตัวสวยมาก เป็นสาวเชียวแต่งหน้าทาปาก ทำผม ควงหนุ่มไปดูการแสดงดนตรีและดูหนัง เจอเพื่อนหลายคนและพาหนุ่มเดินผ่านเพื่อนไปมา  สดใสร่าเริงทั้งคู่ พวกฉันถามถึงเธอ แต่จิราไม่ตอบได้แต่ยิ้มมุมปาก และหัวเราะ..."  คำที่ฉันได้ยิน มันทำให้ฉันรู้สึกหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก
  
          ฉันไม่ได้สนใจที่จะคุยกับจิราอีก ฉันพยายามลืมว่าจิราเคยมาปรับทุกข์กับฉันเรื่องอา นิภา
จิราเคยถามการบ้านฉัน เคยปรึกษาเรื่องเรียนด้วยกัน เคยแบ่งปันกันกินขนม และเคยเดินกลับบ้านพร้อมกัน ....
มันผ่านไปเร็วมาก จนเราเรียนจบและแยกย้ายกันไป ตามวิธีของตัวเอง.....ฉันได้งานทำแล้ว...
จากปีเป็น... หลายปีและวันหนึ่งก็มาถึง....วันที่ฉันได้พบกับจิราอีกครั้ง..
จิรามาพบกับฉันที่ทำงานโดยบังเอิญ เธอมาติดต่อราชการ ได้ทักทายจิราสักครู่เราก็แยกกันไป....
พอตกบ่าย จิรามาหาฉันที่ทำงานอีกครั้ง ฉันแปลกใจว่าเธอมาทำไม ก็เพิ่งเจอกันนี่นา...
       "ฉันไปหาหมอ ตรวจมะเร็ง หมอบอกผลการตรวจมีก้อนเนื้อ จะร้ายหรือไม่ ต้องตัดออกมาตรวจก่อน แต่ฉันไม่ได้เตรียมเงินมา จะมาขอยืมเงินเธอหน่อยนะ  แล้ว สัปดาห์หน้าจะมาคืนให้....." จิราพูดอ้อน ๆ
ฉันมองหน้าจิรา  แล้วทุกอย่างที่อยู่ในใจมาเนิ่นนานแบบลึก ๆ ก็ทำให้ฉันได้สติ "ฉันให้เธอไม่ได้ แต่ฉันเห็นใจเธอนะ  แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะต้องตัดสินใจวันนี้ เธอไปบอกหมอ ว่าเธอจะมาอีก พรุ่งนี้ ให้เธอเตรียมเงินมาให้พร้อม ดีกว่านะ... ฉันต้องรีบไปทำงานนะ มีประชุม" และฉันก็เดินจากไป.....ไม่ได้หันมามองจิราอีกเลย.....
       กลับถึงบ้านฉันก็ได้คิดทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง ฉันเคยรักจิรามาก  ฉันจะเอาขนมที่แม่ทำไปฝากจิราเสมอ  เราคุยกันได้ทุกเรื่อง  ฉันเคยให้ความรู้สึกที่ดีต่อเธอจนหมดใจและไม่มีเหลือให้เธออีก
และฉันไม่มีเวลาคอยเธออีกแล้ว

       มีคนเคยบอกด้วยคำพูดแบบทวนกระแสว่า มีเพื่อนกินดีกว่า มีเพื่อนตาย  ให้เจอเพื่อนแล้วชวนกันกินอาหารหรือพูดคุยกันให้สนุกสนานดีกว่า....ที่จะได้รับรู้ข่าวเพื่อนที่มักจะตาย ๆ กันจวนจะหมดแล้ว.......
      
       วันที่ฉันจะได้ชมการแสดงดนตรีและฟังการร้องเพลงจากนักร้องวงดังที่สุดในขณะนั้นพลาดไป การรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ การตื้นเต้นที่จะได้ชม การรอคอยเธอ ด้วยความห่วงใย ...ด้วยคำพูดคำสัญญาที่มีต่อกัน เราจะเป็นเพื่อนตายต่อกัน คำว่า "จะคอยที่จุดนัดพบจนกว่าจะเจอกัน" ..........จากวันเคยคอย จนถึงวันนี้ วันที่ไม่ต้องคอย ฉันได้พบเธอแล้ว.....

        จิราเธอเป็นเพื่อนตายของฉัน เพื่อนที่ตายไปจากความรู้สึกฉัน นานแล้ว......

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จิตวิญญาณ ครูสมศรี

ครูสมศรี สอนวิชาภาษาไทย  สมัยฉันเรียนชั้นมัธยมปลาย ครูเป็นคนมีระเบียบ การเขียน พูด การออกเสียงภาษาไทย ต้องถูกต้อง  ไม่เช่นนั้นครูจะไม่ผ่านการตรวจการบ้านให้โดยเด็ดขาด
                  ความเคร่ง ในวิชาและการสอน ทำให้ฉันและเพื่อน ๆ ต้องระมัดระวังเวลาเขียนหนังสือ ต้องตรวจทานให้ถูกต้อง ทั้งตัวสะกดการัน วรรณยุกต์ และการเขียนตัวอักษรหากตัวใดมีหัวเข้าออกก็ต้องเขียนให้ถูกต้อง.....
                  ครูสมศรีทั้งสอน พร้อมปลูกฝังให้รักในภาษาไทยเพราะเป็นภาษาของเรา....ซึ่งฉันประทับใจมาก.
                  ฉันได้จดจำคำสอนและ นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน  ฉันระลึกถึงครูสมศรีเสมอมา  ขอกราบขอบพระคุณครูสมศรี มา ณ โอกาสนี้
                  
                  ครูสมศรีเป็นครูที่ฉันรักมากคนหนึ่ง เพราะพฤติกรรมที่ฉันเห็น.. ครูเป็นคนที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูอยู่เต็มตัว ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง รักศิษย์และหวังดีแก่ศิษย์ทุกคนอย่างเสมอภาค......
                  
                  ปิ่นทองเป็นเพื่อนฉันคนหนึ่ง เขาเป็นคนขี้เล่นแบบเด็กซุกซน มักจะล้อเล่นกับเพื่อน ๆ ในห้องเรียนอยู่เป็นประจำ บางวิชาไม่ค่อยสนใจการเรียน มัวแต่กระซิบคุยให้เพื่อน ๆ ฟัง ในขณะที่ครูกำลังสอน....
                  วันหนึ่ง ครูสมศรีได้สั่งบทเรียนให้ไปอ่าน และจะทำการทดสอบบทเรียนตามที่สั่ง  ครูจะเก็บผลการทดสอบไว้เป็นคะแนนเก็บ...         
                 .เมื่อถึงเวลาเข้าห้องสอบ ทุกคนต่างเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ ครูสมศรีจัดให้มีที่นั่งที่ห่างกันพอสมควร    ปิ่นทองนั่งอยู่แถวกลางห้องเรียน ห่างกับฉันไม่มากนัก  พอมองออกไปนอกห้อง ฉันก็จะพบปิ่นทองอยู่ในสายตาพอดี
                   เมื่อครูแจกข้อสอบ และให้ลงมือทำ....ทุกคนทำข้อสอบอย่างเคร่งเครียด  ฉันสังเกตเห็นปิ่นทอง นั่งก้มหน้า ตัวงอ บางครั้ง ก็กระสับกระส่าย เหลียวมองทางโน้นที ทางนี้ที และบางทีก็เหลียวมองครูที่กำลังนั่งคุมสอบอยู่ที่โต๊ะ...
                   ครูสมศรีลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินมายัง ปิ่นทอง "เป็นไง ทำไม่ได้เหรอ ไหนขอดูหน่อย ทำถึงไหนแล้ว"  ครูพูดพร้อมกับหยิบกระดาษคำตอบของปิ่นทองขึ้นมาดู   "อ้าว นี่เธอทุจริตนี่ เธอเอาคำตอบมาลอก ใช้ไม่ได้ เธอทำอย่างนี้ไม่ได้ "    
                   ฉันเห็นปิ่นทองหน้าซีด แต่ตาของเขาดุมาก ครูสมศรีนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครูจึงพูดว่า " ครูจะเปลี่ยนข้อสอบให้เธอใหม่ หรือเธอจะให้ครูปรับตกเลย เอาไหม"
ปิ่นทองลุกขึ้น พูดกับครูสมศรี "เอาข้อสอบใหม่"  ปิ่นทองพูดห้วน ๆ  .ครูสมศรีเดินไปที่โต๊ะ หยิบกระดาษข้อสอบให้ปิ่นทอง   คงเป็นข้อสอบคนละแบบกันกับฉบับเดิม...
                   ปิ่นทองรับข้อสอบใหม่จากครูสมศรี   และขยำกระดาษคำตอบเดิมอย่างแรง ต่อหน้าครูสมศรีแล้วเขวี้ยงกระดาษ ลงบนพื้นห้อง      ฉันเห็นครูสมศรีหน้าแดงอาจเป็นเพราะโกรธ
แต่ครูก็พูดเสียงนิ่ม ๆ ว่า " ปิ่นทอง ทำไมทำกริยาอย่างนี้ กับครู....."
                  
                    การสอบสิ้นสุดลง ช่วงเวลาที่ครูจะบอกคะแนนและเฉลยข้อสอบ  ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทุกคนเคยเป็นอย่างนี้   คะแนนที่ได้จะมีความหมายกับผลสอบภาคปลายมาก
                   ครูสมศรีเฉลยคำตอบให้ทุกข้อ และเรียกให้นักเรียนตอบคำถามทุกคน  แต่จะเว้นปิ่นทองไว้คนหนึ่งเสมอ ๆ  และครูก็จะบอกคะแนนว่าใครได้เท่าไร  เว้นไว้แต่ ปิ่นทองเพียงคนเดียวทึครูไม่สนใจ
                   หมดชั่วโมงสอน....ต่างคนต่างดีใจ ถามกันไปมาว่าใครได้คะแนนเท่าไร   ฉันเห็นปิ่นทองหน้าเศร้า ไม่พูดคุยกับใครสักคน

                    ทุกครั้ง เมื่อครูสมศรีเข้าสอน ครูจะไต่ถามบทเรียนตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ ทุกคนจะได้ตอบ  เว้นแต่ ปิ่นทอง ที่ครูสมศรีทำเหมือนเขาไม่อยู่ ไม่มีในห้อง...... ปิ่นทองเริ่ม เศร้า เหงา เวลาเรียนวิชาของครูสมศรี เหมือนไม่มีกระจิตกระใจจะเรียน  เพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าหน้า ปิ่นทอง
                   
                     หลายวันต่อมา ในชั่วโมงครูสมศรี เมื่อครูเข้ามาในห้องนั่งโต๊ะแล้ว ฉันเห็นปิ่นทองเดินไปหาครูสมศรี ฉันเองก็ระแวงว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีก ปิ่นทองจะทำกริยาไม่ดีอะไรกับครูสมศรีอีก...
แต่ภาพที่เห็น คือปิ่นทอง นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ ครูสมศรี แล้วพูดอะไรกับครูสมศรี อย่างเรียบร้อย
บรรยากาศภายในห้องเรียน เงียบสงบ แต่ฉันก็ไม่ได้ยินว่าปิ่นทองพูดอะไร...... ครูสมศรีพูดอยู่นานพอสมควร  แล้วปิ่นทองก็ยกมือไหว้ครูสมศรีอย่างเรียบร้อยที่สุด เท่าที่ฉันเคยเห็นปิ่นทองไหว้คนอื่น ๆ และ
ครูสมศรีพยักหน้ารับไหว้ด้วยรอยยิ้ม.....
                
                      ต่อมาเมื่อครูสมศรีเข้าสอน ครูก็จะเรียกให้ทุกขึ้นตอบคำถาม ไม่เว้นปิ่นทอง ครูยิ้มแย้มสดใสกับนักเรียนทุกคน ไม่มีใครซักถามเรื่องของปิ่นทอง และครูสมศรีก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา.....
                     เวลาสอน ครูจะเรียกฉันและทุกคน ด้วยการเรียกชื่อ เหมือนกับเรียกปิ่นทอง " ปิ่นทองเธอตอบคำถามครูซิ...."
                    วิชาภาษาไทยของครูสมศรี  บรรยากาศการเรียนการสอนเต็มไปด้วยความสดชื่น อบอุ่นกรุ่นไปด้วยความเมตตา ฉันไม่เบื่อเรียน  ไม่ง่วง ไม่กลัวเวลาต้องลุกขึ้นยืนตอบคำถามครู  ไม่เบื่องานที่ครูสั่งให้ทำ อยากร่วมกิจกรรมเรียนกับครู  วันใดที่ครูสมศรีไม่มาสอน ฉัน ปิ่นทองและเพี่อน ๆ รู้สึกเสียดายและคิดถึงครูสมศรีมาก

                      เมื่อรู้จักผิด ยอมรับผิด รู้จักการขอโทษ ....ครูสมศรีก็จะสอนบอกสิ่งดีและไม่ดี และให้อภัยศิษย์
                     ฉันจำเหตุการณ์นี้ได้ดี  นี่แหละ จิตวิญญาณครู  ที่ชื่อ "สมศรี"

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลุงเกลี้ยง

ลุงเกลี้ยงมีอาชีพเป็นภารโรง ประจำโรงเรียนของฉัน  ครูทุกคนเรียกเขาว่า นายเกลี้ยง แต่ฉันและเพื่อนๆ เรียกเขาว่า ลุงเกลี้ยง

     ลุงเกลี้ยงเป็นคนใจดี เป็นคนซื่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคน แม้เวลาที่ลุงถูกครูหลายคนใช้ให้ทำโน่นทำนี่ ลุงเกลี้ยงก็ยังยิ้ม ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย.....
     ฉันเห็นลุงเกลี้ยงทำทุกอย่าง เปิดปิดประตูโรงเรียนและห้องเรียน กวาดห้องเรียน กวาดเก็บเศษขยะ ที่สนามหญ้าหน้าเสาธง รดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า ตีระฆังบอกเวลา  ไล่สุนัขไม่ให้มารบกวนในโรงเรียน......
ทำหน้าที่เดินหนังสือระหว่างห้องพักครู ซื้อ สั่ง ส่งอาหารให้ครูตอบพักเที่ยง....ช่วยครูขายอาหารให้นักเรียนที่โรงอาหารด้วย และบางทีก็เห็นลุงเกลี้ยงหิ้วสัมภาระต่าง ๆ ไปส่งครูที่รถ
    ลุงเกลี้ยงอาศัยอยู่ในบ้านพัก ที่อยู่ในบริเวณโรงเรียน ลุงมีครอบครัว ภรรยาลุงชอบทำขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วนำมาขายเด็กนักเรียน เช่นมะขามกวน ทอฟฟี่ กล้วยทอด  แป้งจี่ บางทีฉันและเพื่อนก็จะแอบไปซื้อขนมเหล่านี้ ในบ้านพักของลุงเกลี้ยง

        มีหลายครั้งที่ฉันเห็น ลุงเกลี้ยงถูกดุ ครูบางคนเรียกใช้และไม่ได้ตังใจ ซึ่งฉันจะได้ยินครูบ่น ตอนที่ครูเรียกลุงเกลี้ยงมารับใช้ใน ชั่วโมงที่กำลังสอน และฉันก็ไม่ชอบเสียงบ่นของครูเลย
"เห็นไหมพวกเธอ คนไม่เรียนหนังสือ ก็มักจะพูดอะไรด้วยไม่ค่อยรู้เรื่อง  สั่งอย่างได้อย่าง " ครูมักจะหันมาทางนักเรียน เมื่อลุงเกลี้ยงเดินออกไปแล้ว...
      "พวกเธอก็ต้องเรียนเยอะ ๆ จะได้ไม่โง่"   "ชื่อเกลี้ยงสมชื่อจริง ๆ สมองเกลี้ยงพูดไม่รู้เรื่อง  ให้เดินเสียให้เข็ด ถ้าไม่ได้ตามที่สั่ง ให้เหนื่อยซะให้เข็ด"....ฯลฯ  ล้วนแต่เป็นคำที่ไม่น่าฟัง....บรรยากาศในห้องเรียนก็จะเครียดและขุ่นมัว
       แต่ฉันก็ยังเห็นลุงเกลี้ยงยิ้มตลอด แม้ลุงจะเดิน ไปมา หลายครั้ง ในธุระให้ครูเพียงเรื่องเดียวก็ตาม

      พวกฉันเคยพูดหยอกล้อลุงเกลี้ยงว่า ใครนะตั้งชื่อให้ลุง  และลุงเกลี้ยงก็มักจะพูดเปรย ๆ ว่า "ลุงเป็นคนอาภัพ พ่อแม่ตายตั้งแต่ลุงยังเล็ก ยายลุงก็แก่แล้ว เลี้ยงไม่ไหวพอลุงโตสักหน่อย ก็เลยเอาลุงไปฝากให้เป็นเด็กวัด ลุงอยู่ที่วัด โตมากับวัด  พอเป็นหนุ่มมาเจอป้า ก็เลยออกจากวัดมาอยู่ด้วยกัน ทำมาหากินอยู่กัน จนแก่นี่แหละ...ลูกเต้าก็ไม่มี..."  "ใคร ๆ เขาก็ว่า ลุงเป็นคนโง่  สอนอะไรก็ไม่จำ"    ลุงพูด เหมือนน้อยใจในโชคชะตา...แล้วลุงก็พูดต่อ....
"พวกหนูต้องเรียนเยอะ ๆ นะ จะได้ไม่โง่แบบลุง"
      ตอนนั้น ฉันไม่เคยคิดว่าลุงเกลี้ยงเป็นคนโง่เลย  ฉันมองว่าลุงเป็นคนซื่อ มีเมตตา และลุงก็ใจดีกับเด็ก ๆ  เวลาไปซื้ออาหารกลางวันในโรงอาหาร ฉันได้รับแถมจากลุงเสมอ ๆ
     ฉันเคยนึกสงสารลุง เมื่อเห็นลุงหน้าเศร้าเมื่อถูกครูดุ  ก็ได้แต่นึก และไม่ได้พูดอะไรให้ใครฟัง
และฉันไม่ชอบเลย เมื่อครูหลายคน เรียกลุงเกลี้ยงหรือตวาด ด้วยเสียงอันดังว่า "นายเกลี้ยง ! "
 
     เมื่อสบโอกาสฉันได้พบลุงเกลี้ยงบ่ายวันหนึ่ง ถามไถ่ลุงอยู่สักพัก.... "ลุงเหนื่อยไหม "  และอึดใจหนึ่งฉันก็คิดเรื่องชื่อของลุง..... "ลุงเปลี่ยนชื่อดีไหม  อย่าชื่อเกลี้ยงเลย เพราะมันเหมือนไม่มีอะไรเลย เกลี้ยง มันเหมือนไม่เหลืออะไร ชื่ออะไรก็ได้ ที่มีคำว่า บุญ  ดีไหมคะ ลุง" ....   ลุงเกลี้ยง อมยิ้ม.......
   
    เวลาผ่านไป จนวันหนึ่ง ลุงเกลี้ยงเข้ามาในห้องเรียน...  ครูกำลังสอน ฉันเห็นลุงเกลี้ยงนำสิ่งของบางอย่างส่งให้ครู คงเป็นของที่ครูสั่งให้นำมาให้   "ขอบใจนะ นายเกลี้ยง"  ครูพูด
ลุงเกลี้ยงออกจากห้องไปแล้ว สักครู่เดียว ลุงเกลี้ยงก็ย้อนกลับมาอีก 
   "ครูครับผมเปลี่ยนชื่อแล้วนะครับ"   ลุงเกลี้ยงบอกครู
   " อ้าว เหรอ แล้วเปลี่ยนเป็นอะไรล่ะ"   ครูถาม
  "เปลี่ยนตามที่หนูคนนั้นแนะนำ"  ลุงเกลี้ยงชี้มาทางฉัน

   เสียงลุงดัง ตอบครูอย่างภาคภูมิใจว่า "ผมชื่อ บุญเกลี้ยง" ครับ ..!!!!!

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มานพ สุภาพบุรุษชอบเปรี้ยว

ในห้องเรียนวิชาภาษาไทย บ่ายวันนั้นอากาศร้อนมาก  เหล่านักเรียนทั้งหลายต่างง่วงเหงาหาวนอน
นั่งสับประหงก ฟังครูบ้างไม่ฟังบ้าง....เวลาผ่านไปเกือบหมดเวลาสอน..
               มานพเพื่อนฉันคนหนึ่ง เขาไม่ค่อยได้มาเรียน เพราะมัวแต่ไปหลงอยู่กับดนตรี เป็นมือกลองประจำวงดนตรีเล็ก ๆ วงหนึ่ง หน้าตาเขาหล่อเหลาเอาการ   เป็นที่น่าชื่นชมและน่าเอ็นดูกับผู้พบเห็นและคนใกล้ชิด ......เพื่อนชายพากันอิจฉา ยามที่เพื่อนหญิงเข้ามาเอาอกเอาใจ ให้ขอยืมแบบฝึกหัดไปลอก เมื่อเขาถูกครูทวงถามการบ้านหรือเรื่องเรียน เขาจะใช้เสน่ห์เอาตัวรอดทุกครั้ง...  เขาคงนอนดึกและนอนไม่เป็นเวลา ครั้นได้มาเรียนบ้างจึงมีอาการง่วงตลอด และชั่วโมงนี้เขาจะง่วงมากกว่าใคร จนทนไม่ไหว เขาจึงกระซิบถามเพื่อน ๆ ฉัน หลายคนว่า มีอะไรมากินแก้ง่วงไหม
               เพื่อน ๆ หญิงของฉัน 2-3 คน ได้ยินจึงพากันหยิบ ของดองต่าง ๆ เช่น มะม่วงดอง มะยมดอง    มะขามเปรี้ยวคลุกน้ำตาลออกมาแล้วส่งให้มานพ... และเขาก็กระซิบบอกเสมอว่า เขาชอบเปรี้ยว ๆ มีอีกไหม...
              ทำให้หลายคนทั้งหญิงชายพากันขอแบ่งปันมากินกัน อย่างแอบ ๆ ไม่ให้ครูได้ยิน หรือไม่ให้ครูเห็น บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุก เล็ก ๆ  กลั้นเสียงหัวเราะกันแทบไม่อยู่เลยทีเดียว

             สักครู่ใหญ่ ครูนงเยาว์ เริ่มสังเกตปฎิกริยาของนักเรียน และได้ยินเสียงหัวเราะเล็ดลอด ออกมา
ครูเริ่มโกรธ และหยุดสอนทันที  หันมาถามเสียงเครียดว่า " ใครกินขนมในห้อง ..."
             .ทุกคนเงียบ ไม่มีใครตอบ และต่างเก็บของซ่อนไว้ให้มิดชิดที่สุด
              ครูนงเยาว์เดินมาตามโต๊ะ ของแต่ละคน..มองดูในลิ้นชัก   เมื่อเห็นว่ามีของกินซ่อนอยู่
ครูก็จะหยิบแล้วให้ นักเรียนที่นั่งโต๊ะ เหล่านั้นนำไปวางไว้ที่โต๊ะครูใกล้กระดานดำ...ได้ของกินครบตามที่พวกฉันและมานพ นำมากินกัน
             "ครูไม่เข้าใจว่า เธอทำอย่างนี้ทำไม ไม่ให้เกียรติครูเลย เพราะครูกำลังสอน
จริงอยู่เธอง่วงกัน ก็เข้าใจนะ แต่น่าจะตั้งใจเรียนกันหน่อย ความง่วงก็จะหายไป  เธอเคยได้ยินคนแก่
ไหม ที่เขาบ่นว่า นอนไม่หลับเพราะคิดโน้นคิดนี่ จนนอนไม่หลับน่ะ   ถ้าเธอคิดตามบทเรียนที่ครูสอน เธอจะง่วงกันได้อย่างไร  แต่นี่เธอไม่ฟังก็เลยไม่คิดตามเรื่องที่ครูกำลังสอน  เลยง่วง ...."
               เสียงครูนงเยาว์บ่นพวกเรา ก้องกังวานจนพวกเราหายง่วง  มีแต่ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที
               "ครูจะต้องลงโทษ คนซื้อของเหล่านี้เข้ามากินในห้อง บอกมาว่าใคร"
               ทุกคนเงียบ ก้มหน้า ไม่มีใครกล้าสบตาครู   มีแต่พวกคนคงแก่เรียนทั้งหลายที่ ยืดคอ มองครู
               ความเงียบผ่านไป เมื่อมานพ ยกมือขึ้นแล้วลุกขึ้น บอกครูว่า " ผมครับ ผมขอบเปรี้ยว ผมเป็นคนซื้อมาแจกจ่ายกันกินเพราะรู้ว่าต้องง่วงแน่ ๆ ครับ ชั่วโมงนี้"
         
               ทุกคนตกตะลึง ในคำรับสารภาพของมานพ
               ครูนงเยาว์ บอกว่า "ครูไม่เชื่อนะ ว่าเธอคนเดียวเป็นคนซื้อของเหล่านี้...."  ครูนิ่งอยู่สักพัก
ก็พูดว่า " แต่ถ้าเธอยอมรับ และไม่มีใครยอมรับอีก ครูจะลงโทษเธอคนเดียวนะ ทุกคนรับรู้ไว้ด้วย
สำหรับคนที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดพร้อมเพื่อน ให้มานพเป็นผู้ผิดเพียงคนเดียว  พวกเธอต้องยกย่องเขาเรียกเขาว่า มานพสุภาพบุรุษชอบเปรี้ยวนะ"
               บรรยากาศในห้องเปลี่ยนจาก เครียดเป็นผ่อนคลาย นักเรียนหัวเราะ ครูยิ้ม..
               ครูนงเยาว์บอก "ครูจะว่ากล่าวตักเตือนนะ คราวต่อไปถ้าทำอีกครูจะทำโทษให้หนัก  อาจถึงตัดคะแนนวิชานี้และไม่ให้มีสิทธิ์สอบในวิชานี้ จึงตกและต้องสอบซ่อม"....หมดเวลาชั่วโมงนี้พอดี ครูออกจากห้องไปแล้ว...พวกเราก็ยังขำพูดคุยและหัวเราะกันต่อ
            
              แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว ครูนงเยาว์ก็เดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง พวกเราตกใจ เงียบ...ครูนงเยาว์ พูดเสียงดังพอสมควร  "มานพ  เดี๋ยวเธอเอาขนมเปรี้ยว ๆ บนโต๊ะครู ไปให้ครูที่ห้องพักครูด้วย...แหม พวกเธอแอบกินกันทำไมไม่เรียกครูกินบ้าง ครูก็ชอบเปรี้ยวเหมือนกันนะ..."
               เสียงพวกเราในห้องเรียนหัวเราะ เฮฮา..ดังขึ้น  เป็นที่ครื้นเครง  มานพรีบหยิบของกินเหล่านั้นวิ่งเหยาะ ๆ ตามครูนงเยาว์ไป.....
               จากนั้น มานพจึงได้ฉายาว่า มานพ สุภาพบุรุษ ชอบเปรี้ยว ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...
                มานพ ขณะนี้เธออยู่ไหน เพื่อน ๆ คิดถึง  "สุภาพบุรุษชอบเปรี้ยว" ของฉัน

เด็กชายมาโนช

มาโนชเป็นเพื่อนสมัยฉันเรียนอยู่ ป.5  เขาเป็นคนเฉย ๆ เรียบร้อย ไม่ค่อยพูด และไม่ค่อยมีเพื่อน
เขามักจะทำอะไรลำพัง เช่น กินข้าว เล่นหมากเก็บคนเดียว เดินดูต้นไม้ใบหญ้า และบางทีก็เล่นกระโดดเชือกเพียงลำพัง
        การเรียนของเขาอยู่ในขั้นเรียนอ่อน อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนเงียบ ๆ  ไม่ค่อยตอบคำถามของครู และไม่สนใจในเวลาเรียน  บ่อยครั้งที่ ฉันเห็นเขานั่งนิ่ง ๆ และเหม่อลอย
       วันหนึ่งเย็นมากแล้ว เด็กนักเรียนต่างทะยอยกันกลับบ้าน แต่ฉันยังต้องรอให้ผู้ปกครองมารับกลับ... ขณะนั้น ฉันเห็น มาโนชเดินและล้มลง ขาของเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า และเขาก็พยายามลุก
และจะเดินต่อ แต่ฉันก็เห็นเขาล้มลงอีก หลายครั้งที่ฉันเห็นเขาล้มแล้วลุก ล้ม ๆ ลุก ๆ
       เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้ ฉันจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับพยายามพยุงเขาลุกขึ้น
ก็ได้เพียงแค่นั้น เขาลุกขึ้นยืนได้ แต่ไม่สามารถก้าวเดินได้เลย ฉันจึงให้เขายืนอยู่อย่างนั้นและฉัน
ก็เดินไปหาครูประจำชั้นที่ห้องพักครู   ฉันพบครูสมทรง ซึ่งเป็นครูของฉันในขณะนั้น
       ฉันบอกครูเรื่องของมาโนช แต่ทำไม ดูครูไม่ตื่นเต้นกับเรื่องที่ฉันบอกเล่าเลย  แต่ครูก็ลุกขึ้นและบอกว่า ครูจะกลับบ้าน  พร้อมกับครูก็หยิบกระเป๋าและสิ่งของเดินออกจากห้อง....
       ฉันเดินตามครูสมทรง.....จนมาถึงบริเวณที่มาโนช ยืนอยู่  ฉันเห็นมาโนช ร้องไห้ เขาไม่ได้ขยับตัวไปจากเดิมเลย  ฉันจึงรีบบอกครูสมทรงว่า  มาโนชอยู่ตรงนั้น ให้ครูช่วยเขาด้วย.....
        ครูสมทรงพูดกับมาโนชว่า เธอต้องช่วยตัวเอง และรอให้คนอื่นมาช่วยนะ เพราะครูกำลังจะกลับบ้าน  มาโนชยังร้องไห้ไม่หยุด  เขาบอกเขาปวดขาและเดินไม่ได้  แต่ครูสมทรงก็ได้แต่มองนิดหนึ่ง
แล้วครูก็เดินจากไป....ครูคงเดินทางกลับบ้าน....ฉันบอกมาโนชว่า ฉันจะไปบอกครูคนอื่นให้มาช่วยเธอ....
        ขณะนั้น ยังมีเด็กนักเรียนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร...ฉันเดินหาครูในโรงเรียนแต่ไม่พบใครเลย เดินตามหาในที่ต่าง ๆ เผื่อจะพบครูบ้าง  ก็ไม่พบใคร เวลาผ่านไปพอสมควร ฉันจึงเดินกลับมา
หามาโนช....ไม่พบมาโนช และผู้ปกครองฉันก็มารับกลับบ้านพอดี
          คืนนั้นฉันนอนคิด ใครจะช่วยมาโนช มีใครเห็นมาโนชหรือเปล่า
          วันรุ่งขึ้นมาโนชไม่ได้มาโรงเรียน  และฉันก็ไม่ได้ยินใครพูดถึงมาโนช

          เวลาผ่านไปหลายเดือน จนฉันสอบไล่ และปิดเทอม...
          พอเปิดเทอมเรียนชั้นใหม่  วันแรกฉันเห็นมาโนช มาพร้อมกับพ่อและแม่ของเขา  ฉันแปลกใจมาก ที่เห็นมาโนชเดินและเห็นขาเขาไม่เท่ากัน เล็กและลีบไปข้างหนึ่ง จำได้ว่า เป็นขาที่เขาบาดเจ็บในวันที่ฉันเห็นเขาล้มในวันนั้น..
           หน้าตาของเขาดูเศร้ามาก.... แต่พอมาโนชเห็นฉันเขาก็ยิ้มกว้าง....ได้แต่ยิ้มให้กันไม่ได้พูดอะไรกันเลย
          ฉันได้ทราบข่าวจากครูคนใหม่ของฉันว่า  พ่อและแม่ของมาโนช มาพบครูใหญ่ แจ้งครูว่า
มาโนชไม่สามารถมาเรียนได้ เนื่องจากเขาเป็นคนพิการขาลีบไปข้างหนึ่ง  การบาดเจ็บครั้งนั้นเป็นต้นเหตุทำให้เขาพิการ เพราะการรักษาที่ไม่ถูกต้องและทันท่วงที  ภารโรงที่โรงเรียนได้พามาโนชไปส่งที่บ้านแต่เวลาที่เกิดเหตุก็ทิ้งช่วงห่างกับการรักษา ทำให้อาการเจ็บที่ขาของเขาลุกลาม ถึงแม้บาดแผลจะหายก็ตาม ......มิน่าเล่า วันนั้นเขาถึงร้องไห้ไม่หยุดและบอกครุสมทรงว่า เขาปวดเจ็บที่ขามาก
          ใครจะรู้บ้างว่า   ถ้าครูสมทรงช่วยเหลือเขา ไม่ปล่อยให้เขายืนอยู่อย่างนั้น  มาโนชจะพิการอย่างนี้ไหม

            จะเป็นจริงหรือไม่ ว่าครูสมทรงมีส่วนทำให้มาโนข เป็นคนพิการ  แต่สิ่งที่ฉันเห็นอยู่กับตาตนเองคือ.... วันนั้น ครูสมทรงวางเฉย ไม่สนใจมาโนชเลยแม้จะเห็นว่า เขากำลังร้องไห้ก็ตาม......

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

ครูดำรง คนขายถ่าน

    ครูดำรง เป็นผู้ชาย ครูสอนวิชา พลศึกษา สมัยฉันเรียนอยู่ ป. 5 ฉันเห็นครูอยู่บ่อย ๆ ถึงแม้ว่า
วันนั้นฉันไม่มีวิชาเรียนพลศึกษา  ส่วนใหญ่ครูจะแต่งชุดกีฬา และก็เห็นเป็นบางที ที่ฉันเห็นครูแต่งตัวเรียบร้อย ใส่เสื้อเชิ๊ต แขนยาวสีอ่อน ๆ หรือสีขาวและผูกเน็คไท กางเกงทรงสุภาพ
    เวลาที่ฉันเลิกเรียน แม่และพ่อฉันจะมารับที่โรงเรียน หรือบางทีก็ให้ฉันออกไปคอยตามจุดต่างๆ
ที่จะพบกันได้ง่าย
    วันหนึ่ง ฉันได้เจอกันแล้วกับพ่อและแม่ และในขณะที่กำลังเดินอยู่ริมทางอยู่นั้น สายตาฉันก็เห็น
ชายคนหนึ่งเดินเข็ญรถบรรทุกถ่านที่ใช้หุงข้าวและใช้กับเตาเพื่อปรุงอาหาร  มีหญิงสูงวัยคนหนึ่งเดิน
อยู่ข้าง ๆ ด้วย
      ฉันจำได้ว่า ชายผู้นั้นคือ ครูดำรง หญิงสูงวัยคนเดินข้างน่าจะเป็นแม่ของครู ทั้งสองมีเสื้อผ้าและหน้าตาเลอะเทอะดำไปด้วยถ่าน  จนเกือบจำหน้าครูดำรงไม่ได้
      ครูดำรงเข็ญรถบรรทุกถ่านผ่านหน้าฉันไป ...พอฉันได้สบตาครูเท่านั้น ฉันก็จำได้แม่นยำว่า เป็นครูดำรงแน่นอน แต่ครูก็ผ่านฉันไปแล้ว.....
       ช่วงวินาทีนั้น ฉันจึงเดินตามครูไปติด ๆ จนแม่ของฉันห้ามว่า จะเดินตามเขาทำไม  แต่ฉันก็เดินตาม
จนทัน  ครูดำรงหยุดเดินนิดหนึ่ง  แล้วหันหน้ามาทางฉัน   " สวัสดีค่ะ คุณครู " ครูดำรงยิ้ม และถามว่า
เธอเป็นนักเรียน ชั้นไหน ชื่อและนามสกุลอะไร  ฉันบอกครูเรียบร้อยแล้ว   ครูถามฉันว่า "เธอมาทักครู เห็นครูเดินขายถ่าน เธอไม่อายเหรอ"    ฉันตอบครูว่า อายทำไมเหรอคะ  มีอะไรน่าอายเหรอคะ
ครูดำรงยิ้ม พร้อมกับบอกว่า เธอเป็นเด็กดีมาก เธอมากับใครล่ะ ทำไมยังไม่กลับบ้าน .ฉันชี้ให้ครูดูว่าเดินอยู่กับแม่
 
        เวลาผ่านไป ฉันไปโรงเรียน ถ้าได้เรียนวิชาพลศึกษา ครูดำรงจะเข้าทักทายและยิ้มกับฉันบ่อย มาแอบดูในเวลาฉันเรียน พูดฝากครูด้วยกันให้ดูแลฉันเป็นพิเศษ คอยถามหาว่า ฉันมาเรียนหรือเปล่า มาถามว่าฉันเรียนดีไหม คะแนนเรียนเป็นอย่างไร        เดินผ่านและเห็นฉัน ครูเดินเข้ามาทัก
       วันหนึ่งฉันเห็นครูดำรงแต่งตัวหล่อมาก เสื้อแขนยาวสีขาวสะอาดตา ผูกเนคไทลาย ๆ สีเทาอ่อน กางเกงสีดำ  สุภาพมาก  ผิดกับวันที่ฉันเห็นตอนครูขายถ่านอย่างถนัดตา  ไม่มีสีดำของถ่านติดอยู่ที่เสื้อเลย
        ครูยิ้มและถามฉันว่า กินข้าวหรือยัง กินขนมไหม แล้วครูก็ยื่นเงินให้ฉัน บอกให้ไปซื้อขนมกิน
ฉันไม่อยากรับเงิน  แต่ครูก็ให้ฉันรับไว้จนได้
        เพื่อน ๆ ถามว่าครูให้เงินฉันทำไม แล้วทำไมเขาไม่ได้เงินจากครูบ้าง บางคนก็ถามว่า "เธอเข้าไปทักครูเธอเรียบร้อยกล้าทักครู ในขณะที่ครูอยู่ในสภาพไม่ดี  ครูเลยรักเธอเหรอ"

       จากวันนั้นเป็นต้นมา  เพื่อนนักเรียนห้องเดียวกันกับฉัน หรือห้องอื่น ต่างล้อว่า ฉันเป็นศิษย์ครูดำรง คนขายถ่าน ๆๆๆๆๆๆ  เมื่อเวลามีเรื่องมาแกล้งกัน ก็จะมีบางคนตะโกนเสียงดังว่า " อย่าไปยุ่งกับเขา
เขาเป็นศิษย์รัก ครูดำรงตัวดำคนขายถ่าน โว๊ย...."  
       
        ครูดำรงใจดี และเป็นคนดี ช่วยแม่ขายถ่านและไม่อายที่จะทำ แทนคุณแม่ ครูตั้งใจสอนเด็ก
และครูมีเมตตากับเด็ก ที่ประพฤติดี และเคารพนับถือครู......." อย่าไปยุ่งกับเขา เขาเป็นศิษย์รัก ครูดำรงตัวดำคนขายถ่านโว๊ย....
         ฉันไม่อยากให้ครูดำรงได้ยินคำเหล่านี้เลย........  




   

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ทำอะไรกันดีล่ะ ยามว่าง

ท่านชอบทำอะไรกันบ้างคะ  หลังว่างจากงานประจำ  อะไรก็ได้ที่คิดว่าเป็นเรื่องไม่เครียด จัดบ้านใหม่ ทำการฝีมือ วาดภาพ  อ่านหนังสือ ร้องเพลง ฟังเพลง ท่องเที่ยว เขียนหนังสือแบบบันทึกเล่าเรื่องสิ่งที่ผ่านมา...จากประสบการณ์จริง ๆ
      สิ่งที่กล่าวมา ดิฉันชอบทุกอย่าง แต่จะเลือกเวลาใดที่เหมาะสม กับกิจกรรมนั้น ๆ และก็ได้ทำมาแล้ว
   
      ดิฉันขอนำเรื่องที่เขียนแบบบันทึกเล่าเรื่องที่ผ่านมาจากประสบการณ์จริง ๆ บางส่วน มาเล่าสู่กันฟังในที่นี้ ค่ะ.....