วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตลาดชีวิต

ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันอยู่จนเป็นเรื่องปกติ คนทุกคนหนีสุขทุกข์ไปไมได้ เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะมีวิธีแก้ทุกข์สุขนั้นอย่างไร บางคนก็หาทางออกไม่ได้ ก็มักจะโทษว่าเป็นเรื่องของกรรม ลองคิดดูจะเห็นว่า กรรมนั้นคือการกระทำ ผลแห่งการกระทำจะออกผลอย่างไร ก็คือเวรกรรม...หรือกรรมเวร

ดิฉันขอนำเรื่องชีวิตของแต่ละคน ที่ดิฉันได้พบเห็นและนำมาเล่าสู่กันฟัง  เป็นชีวิตของคนที่ทำการค้าขายอยู่ในตลาดแห่งหนึ่งใน กทม.  เรื่องราวของแต่ละบุคคลจะเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านจะได้อ่านต่อไป... ดิฉันขอใช้ชื่อเรื่องว่า "ตลาดชีวิต"


ตลาดชีวิต
ตอนที่ 1 วันเพ็ญ คนเข็ญใจ...
                     วันเพ็ญหญิงหม้ายหย่าร้างวัย 40ปี หล่อนมีลูกสาว 2 คน อาชีพของหล่อนเคยทำงานเป็นพนักงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ด้วยชีวิตที่สับสน ลุ่มหลงในอบายมุข ทำให้หล่อนเป็นหนี้เป็นสินมากมาย จนกระทั่งต้องตัดสินใจ ลาออก เพื่อนำเงินสะสมที่บริษัทจ่ายให้ นำไปใช้หนี้บางส่วน และแบ่งส่วนหนึ่งมาลงทุนขายของ สินค้าที่หล่อนเลือก คือ รองเท้าสตรีและเด็ก...หล่อนขายได้ดีในบางวัน และบางวันก็ไม่มีลูกค้าเลยสักคนเดียว ฉะนั้นค่าใช้จ่ายกับกิจการและค่าใช้จ่ายในครอบครัวจึงไม่อาจเพียงพอได้
มีคนแนะนำให้หล่อนกู้เงินจากผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง ซึ่งหล่อนก็ต้องยอมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึงร้อยละ 20 และต้องส่งทั้งต้นดอกเป็นรายวัน

                   วันนี้ มีคนมาหาวันเพ็ญที่ตลาด แต่ก็ต้องผิดหวังมีหลายคนรู้ว่า เป็นผู้ที่มาเก็บเงินรายวัน จากแม่ค้าหลายคน ทุกคนจ่ายเงินให้แก่เขา ยกเว้นวันเพ็ญ หล่อนไม่มาและไม่ได้ฝากเงินให้ใครจ่ายให้
"พรุ่งนี้จะมาใหม่ ฝากบอกวันเพ็ญ ด้วยผมจะมาก่อนเที่ยง" เขาทิ้งคำพูดไว้กับแม่ค้าร้านใกล้เคียง..(โปรดรออ่านตอนต่อไป)

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลัดดา ขายรถ

รถยนต์ที่หลายคนบอกว่า มันคือปัจจัย ที่ 5 สำหรับการดำรงชีวิต ของคนยุคปัจจุบัน

ฉันเห็นลัดดานั่งเศร้า หลังจากที่ได้ยินเธอบ่นมาหลายวันแล้ว "ฉันจำเป็นต้องขายรถแล้ว น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน รถของฉันก็ค่อนข้างเก่ามากแล้ว กินน้ำมัน ช่วงล่างช่างบอกว่าต้องซ่อมเปลี่ยนอุปกรณ์หลายอย่าง และฉันก็คงไม่มีเงินพอที่จะซื้อใหม่ หรือถ้าจะซื้อใหม่ก็ต้องนำไปแลกเป็นเงินดาวน์ และก็ต้องผ่อนต่ออีก อย่างน้อยก็ 3-5 ปี เป็นเงินหลักหมื่นต่อเดือน  โธ่ ..นี่ฉันต้องขายมันไปหรือนี่.... ฯลฯ "

นี่ละมัง ที่เป็นสาเหตุที่วันนี้เธอนั่งเศร้า และวันรุ่งขึ้นเธอก็ลาพักผ่อน 1 วัน..
วันนี้เป็นวันที่เธอกลับมาทำงาน และก็นั่งเศร้าให้ฉันเห็นอีก...

ลัดดา เป็นอย่างไร ขายรถแล้วหรือ..ฉันตัดสินใจถามหล่อน หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันกลับมา  หล่อนหันมาตอบพร้อมตาแดง น้ำตาไหล "ขายแล้วค่ะ  เมือวาน ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว..."
ไม่เสียดายมันหรือ"  ฉันถาม เพียงประโยคนี้เท่านั้น หล่อนก็ร่ำไห้ เสียงเคลือ  "เสียดายมาก
เขาเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิต เป็นเพื่อนคู่ยาก ไปไหนไปกัน เขาไม่งองแง ไม่เคยทำให้อับอาย ไม่ทำให้ลำบากในที่คับขัน ไม่เกเร....แม้บางทีฉันดูแลเขาไม่ดี เขาก็ไม่โกรธ ฉันไม่พาเขาไปอาบน้ำ เขาก็ไม่โกรธ เขาพาฉันเที่ยวไปทั่ว  ฉันเคยพาเขาตกถนนพังยับเกือบทั้งคัน เขายังไม่ยอมให้ฉันต้องบาดเจ็บ
เขายอมเจ็บตัวเอง  ใคร ๆ มาเห็นสภาพเขาขณะนั้น ไม่มีใครคิดหรอกว่า ฉันจะรอดตาย แต่ตัวเขาเองต้องเข้าโรงซ่อม นานเป็นเดือน  แม้กระทั่งเหตุการณ์ผ่านไป เขาก็ประคับประคองฉัน ฉันไม่เคยได้รับผลกระทบอะไรจากการบาดเจ็บของเขาเลย  จริงอยู่เขาสูญเสียการทรงตัวไปบ้าง แต่เขาก็อยู่กับฉันตลอด ร่างกายภายในของเขา ที่นั่งเบาะ เขายังสวยงามอยู่มาก  ทั้งเครื่องเสียง ลำโพง 4 ตัว ยังสวยงามเหมือนใหม่เสมอ ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ฉันได้อยู่กับเขา....."  แล้วหล่อนก็ร้องไห้โฮ...

ฉันอึ้งไปชั่วขณะ  ตื้นตันไปหมดจากคำพูดและกิริยา ที่หล่อนทำ "ไม่เคยต้องซ่อมอะไร  มีบางตัวก็เสื่อมบ้างตามสภาพ แต่เขาไม่เคยเกเรอะไรกับฉันเลย  ฉันต้องดูแลเขาบ้างจึงพาเขาไปเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เสื่อม ถ้าเขาป่วย เขาจะพาฉันให้ถึงที่พักก่อนเสมอ  และเขาก็ป่วยเพียงเล็กน้อย  ฉันไม่เคยต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรให้เขามากมายเลย ฉันไม่ดีเอง ที่ฉันไม่ดูแลเขา จึงทำให้เขาป่วยบ้าง แต่เขาก็ทนจนถึงที่สุดจึงป่วยสักหน  ถึงแม้ว่าเขาเริ่มมีอายุมาก เขาก็ไม่กินน้ำมันอะไรมากเกินไป.....ฉันไม่ดีเอง ทำไมฉันจึงคิดว่าจะขายเขานะ  เพราะอะไรเนี่ย...."  ลัดดาหันมามองทางฉัน...

ฉันไม่พูดว่าอะไรสักคำ มองหล่อนด้วยสายตา และตอบคำถามหล่อนว่า " ฉันเข้าใจ... ฉันเข้าใจ..."
รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาค้ำอยู่ที่ลำคอ มันตื่นตันไปหมด  อยากจะบอกลัดดาว่า  "ฉันก็เคยเป็นเช่นนี้
วันแรกที่ฉันขายรถที่ฉันรักมาก  ฉันมีอาการเดียวกับหล่อนเลย  มองรถของฉันจากไปกับคนซื้อคนใหม่
ขับออกไป  ห่างไป  ห่างไป จนลับสายตา  และฉันก็เดินน้ำตาไหลริน  .....ขอบใจนายมากนะ ที่นายเป็นเพื่อนฉัน อยู่กับฉันอย่างมิตรแท้ แม้นายจะไม่มีชีวิต  แต่นายก็เคยมีวิธีทางร่วมกับชีวิตฉัน มานาน.ถ้าฉันพร้อมทางเศรษฐกิจ พร้อมที่จะให้นายอยู่  ฉันจะเก็บนายไว้แม้นายจะไม่สามารถรับใช้ฉันได้แล้ว ฉันก็จะเก็บนายไว้ตลอดไป ......... .ฉันจะคิดถึงนาย และคิดถึงตลอดไป...ลูกอ๊อด ของฉัน

จะมีอะไรมากไปกว่าคำที่ฉันจะบอก ลัดดา ว่า " ฉันเข้าใจ...ฉันเข้าใจ และฉันเข้าใจ..."


...................................................................................

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน...
           ดิฉันขอพักการเขียนเรื่อง "บ้านไม้ชายทุ่ง" ไว้ก่อนนะคะ  ด้วยขณะนี้เกิดแรงบันดาลใจ
ที่จะเขียนเรื่องสั้นเพิ่มขึ้น ตามความคิดและความทรงจำสำหรับเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง.....
            หวังว่า ท่านผู้อ่าน จะเข้ามาเยี่ยมและเป็นกำลังใจด้วยค่ะ

                                                                                  ขอบคุณค่ะ
                                                                                    ต้อย มีนบุรี ผู้เขียน

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

บ้านไม้ชายทุ่ง

ตอนที่ 2 ฝนดาวตก
บนโต๊ะอาหารมื้อเย็น มีแกงส้มดอกแคกับกุ้ง ปลาทับทิมทอดกระเทียม และไข่เจียว
สมาชิกทั้ง 4 คนนั่งร่วมโต๊ะ กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย..
"อร่อยจังเลยคะ ป้าละมุน ต้องกินเยอะ ๆ เพราะคืนนี้จะนอนดึกคอยดูดาวตก นี่แกงจากดอกแคหน้าบ้านเราใช่ไหมคะ "
มาลัยพูดไปเคี้ยวอาหารไปด้วย.."อย่าเพิ่งพูดเคี้ยวให้หมดปากก่อน เดี๋ยวจะสำลัก"
เสียงป้าละมุนบอก" กินแต่พออิ่ม นอนดึกกลางคืนถ้าหิว ป้ามีของกินให้อีก นมไง จะไปอุ่นให้ร้อน ๆ ก่อนกิน"

ค่ำคืนแห่งการรอคอย... 3 ทุ่มกว่าแล้ว มะลิและมาลัย นั่งเล่นอยู่นอกระเบียงบ้าน กลิ่นดอกการะเวกหอมโชย คุณยายอังกาบปลูกไว้นานแล้ว และปล่อยให้มันเลื้อยพันอยู่ที่เสาริมระเบียง ด้านบนทำเป็นร้านให้มันเลื้อยจนหนา ใบและดอกดก และจะมีกลิ่นหอมยามเย็นถึงค่ำคืน...
 อากาศเริ่มเย็น และมีลมหนาวโชยมาเป็นระยะ ๆ  ความเงียบ ความมืด ฟ้ามีดาวพราวพร่าง บ้านที่อยู่ห่าง ๆ ก็เห็นแสงไฟบ้าง ดับมืดบ้าง...

"เข้าอยู่ในชายคาลูก หน้าหนาวน้ำค้างแรง เดี๋ยวจะไม่สบาย" เสียงคุณยายกังกาบบอกกับ
หลานทั้งสอง " อยู่ในชายคาก็มองเห็นนี่นา มองไปไกล ๆ เห็นไหมดาวเยอะเชียว ยิ่งดึกยิ่งเห็นมาก ไปเรียกป้าเขามานั่งด้วยกันซิลูก"

คุณยายอังกาบ ป้าละมุน มะลิร้อย มาลัยกรอง นั่งรวมกันอยู่ที่ม้านั่งริมระเบียงบ้าน ถึงแม้จะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่มุมนี้มองออกไปข้างนอก คือทุ่งนาอันกว้างใหญ่ มีบ้านคนอยู่ห่าง ๆ อากาศเย็นและบริสุทธิ์มาก เมื่อสูดลมหายใจจะรู้สึกโล่งปลอดโปร่ง สมาชิกในบ้านหลังนี้จึงมีสุขภาพดีเพราะอากาศดี ไม่ค่อยมีมลภาวะ ถนนทางเข้าบ้านยังเล็ก ๆ รถจะวิ่งผ่านบ้าง มองดูเหมือนเปลี่ยว..แต่ตั้งแต่คุณยายอังกาบอยู่ที่นี่ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรน่ากลัวจากใครเลย ....

ในที่ดินกว่า 200 ตรว. มีบึงเล็ก ๆ เกิดจากการขุดหน้าดินไปขายก่อนที่คุณยายอังกาบจะมาซื้อเสียอีก คุณยายบอกว่า ถ้าจะถมที่คงต้องใช้ดิน หลายคันรถ...แต่คุณยายก็ยังไม่คิดจะถม เพราะในบึงน้ำนั้นมีบัวกินสาย ผักกระเฉด ผักบุ้ง มากมายรอให้เก็บกิน และกุ้ง ปลา น้ำจืดอีกหลายชนิด
อีกทั้งยังมีต้นแคใหญ่ ปลุกไว้อีก 1 ต้นริมทางเข้าบ้าน ต้นแคหน้าหนาวกำลังออกดอกสะพรั่ง  มีหลายคนเข้ามาจะขอซื้อที่ดินผืนนี้ แต่คุณยายอังกาบก็ไม่คิดจะขายให้ใคร คุณยายบอกว่ารักและหวงแหนที่ดินนี้มาก เพราะอยู่แล้วสุขสบายใจ

สมัยเมื่อคุณตาโปรย ผู้เป็นตาของมะลิร้อย และมาลัยกรองยังมีชีวิตอยู่ ก็ได้อาศัยพืชผัก ปลา กุ้งนี่แหละ เป็นอาหารยามเมื่อไม่อยากไปที่ตลาด ซึ่งแต่ก่อนไปมาไม่สะดวกเลย...

"เมื่อไรจะเห็นดาวตกสักดวง นั่งอยู่นานแล้ว.." เสียงบ่นจากมาลัย(ยังมีต่อ)

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

บ้านไม้ชายทุ่ง

ตอนที่ 1 สี่ชีวิต
บ้านไม้ชั้นเดียวปลูกแบบง่าย ทาสีด้วยน้ำมันยาง...
คุณอังกาบ มีลูกสาว 2 คน ชื่อ ละมุนและละไม  คุณละไม แต่งงานกับ พ.อ จักรา มีบุตรสาว 2 คน คุณยายอังกาบและคุณละมุนผู้เป็นป้า ตั้ง ชื่อให้ว่า มะลิร้อย และมาลัยกรอง เมื่อคุณละไมคลอดมาลัยกรองได้ 5 เดือน ก็มีอันต้องเสียชีวิตไป ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว.....

เวลาผ่านไปได้ 7 ปี พ.อ จักรา ผู้เป็นบิดาของ มะลิร้อยและมาลัยกรอง ก็ขอปลีกตัวไปมีครอบครัวใหม่ คุณยายอังกาบและคุณละมุนผู้เป็นป้า และยังโสด  จึงได้เลี้ยง มะลิร้อย และมาลัยกรอง ไว้และอาศัยอยู่ที่บ้านไม้หลังเดิม ที่ชายทุ่ง....แต่พ.อ จักราผู้เป็นพ่อ ก็มิได้ทอดทิ้ง ลูกสาวทั้งสอง ยังส่งเงินให้ใช้จ่ายและมาหาด้วยความรัก เสมอ ๆ

ภายในบ้านหลังน้อยนี้ จึงมีผู้อาศัยอยู่ 4 คน มะลิร้อยและมาลัยกรอง อายุห่างกัน 3 ปี
ขณะนี้ มะลิร้อยอายุได้ 10 ปีแล้ว ส่วนมาลัยกรอง อายุได้ 7 ปีกว่า ๆ

คุณยายอังกาบและ ป้าละมุน เรียก หลานทั้งสองสั้น ๆ  ว่า มะลิ และมาลัย  ทั้งสองเลี้ยงหลานกำพร้าแม่มาด้วยความรักความผูกพัน และความสงสารทื่มีให้อย่างเต็มเปี่ยม .....

วันนี้เป็นวันหยุด ป้าละมุน ลุกขึ้นตื่น ไปตลาดแต่เช้าตรู่ ซื้อผักสด เต้าหู้เหลือง ปลา กุ้ง และผลไม้หลายอย่าง.....และเป็นวันที่ พ.อ จักรา จะมาพบบุตรสาวทั้งสอง
ป้าละมุนกลับจากตลาดแล้ว มองเห็นมะลิและมาลัยนั่งเล่นอยู่หลังบ้าน...
"มาเร็วมาช่วยป้าทำอาหารเช้ากินกันดีกว่า" ป้าละมุนเรียกหลาน
มะลิเดินเข้ามาในครัวตามมาด้วยมาลัย "ทำอะไรกินหรือคะ ป้า วันนี้พ่อจะมาที่นี่หรือคะ ดีเลยหนูอยากขอให้พ่อพาไปเที่ยว ทะเล อยากไป ๆ "
"นัดกับพ่อเขาไว้เหรอไง  เขาว่างเหรอ"
เงียบ เพราะทั้งสองคนไม่ได้นัดกับพ่อของเธอเลย
"เอาล่ะ เดี๋ยวพอพ่อเขามาก็ถามเขาก่อนว่า เขาว่างหรือเปล่า" พูดพลางป้าละมุน มือก็ทำงานไปด้วย ป้ากำลังต้มน้ำร้อน ชงชาร้อน และปิ้งขนมปัง
"มาลัย เอาชากับขนมไปให้คุณยายหน่อยซิลูก"
มะลิเป็นลูกมือช่วยป้าละมุนทำอาหารจนเสร็จ กับข้าวเช้านี้ เป็นข้าวสวย ผัดเต้าหู้เหลืองใส่ถั่วงอกและต้นหอม ไม่ใส่หมู และแกงพะแนงไก่ ที่ทำกินเป็นอาหารเย็นเมื่อวานแต่ยังเหลืออยู่ ป้าละมุนบอกว่า" เรากินกันน้อย ป้าก็ทำอะไร ๆ น้อย ๆ ไม่ค่อยเป็น  ทำเยอะก็เหลือ อุ่นแล้วนะ ช่วยกันกินของเก่าก่อน เย็นนี้จะทำแกงส้ม ไม่ให้เผ็ดหรอก กลัวหลานกินไม่ได้ ขนาดแกงพะแนงป้ายังลดน้ำพริก กลัวหลานจะเผ็ดเลย"

อาหารมื้อเช้ามีคุณยายอังกาบ ป้าละมุน มะลิ มาลัย  กินด้วยกัน เป็นอย่างนี้ประจำแทบจะทุกมื้อ
คุณยายอังกาบบอกป้าละมุน ให้หลาน ๆ กินข้าวร่วมโต๊ะ  หากเป็นไปได้ให้ทำอย่างนี้ทุกมื้อ
คุณยายอังกาบยังบอกอีกว่า " การกินอาหารร่วมกันที่โต๊ะอาหาร หรือวงอาหารที่ใด เป็นการแสดงถึงความรักความอบอุ่นที่ครอบครัวมีให้กัน มีอะไรก็พูดคุยกัน และถือเสมือนว่าเป็นการอบรมบ่มนิสัยให้ลูกหลานด้วย"
มะลิเคยได้ยิน คุณครูดุเด็กที่ไม่มีมารยาท และอุปนิสัยแย่ ๆ ว่า " นี่เธอคงไม่เคยกินอาหารร่วมโต๊ะ ร่วมมื้อ กับพ่อแม่ญาติพี่น้องเลยละซิ  ถึงได้สอนและอบรมบ่มนิสัยยากอย่างนี้" มะลิจำได้ดี

สายแล้ว พ่อของมะลิ และมาลัยก็ยังไม่มา สักครู่ป้าละมุนเดินมาบอกว่า "พ่อโทรมานะ ว่าวันนี้ติดราชการมาไม่ได้ วันหยุดเสาร์หน้า จะมาหาให้ได้"
มะลิ มาลัยหน้าสลด ป้าละมุน เข้ามาปลอบใจ "ไม่เป็นไรน่า เสาร์หน้าพ่อเขาก็มา ไปเดี๋ยวป้าจะพาไปเที่ยวเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน อยากไปไหนกันล่ะ"
"ไม่เป็นไรคะ ป้า หนูอยู่บ้านทำการบ้านดีกว่า แล้วคืนนี้จะคอยดูฝนดาวตก ที่หลังบ้าน ทีแรกนึกว่าจะไปพักที่ทะเล ชวนพ่อนับดาวตกที่ชายหาดสักหน่อย  คุณครูบอกให้นับว่า เห็นดาวตกกี่ดวง ใช่ไหม มาลัย"  "ใช่ ๆๆ หนูก็จะดูฝนดาวตกเหมือนกัน ค่อยเจอพ่อเสาร์หน้าก็ได้ค่ะ  ป้าละมุน"
สองพี่น้องสนทนากันต่อหน้าป้าละมุน...
"ดาวตกหลังบ้านเรามองเห็นได้ดีนะ ไม่ต้องไปถึงทะเลหรอกจ๊ะ "  เสียงของป้าละมุน บอกอย่างอ่อนหวาน
เป็นที่ตกลงกันว่า คืนนี้ มะลิร้อย มาลัยกรอง ป้าละมุน คงเฝ้าดูฝนดาวตก และก็จะชวนคุณยายอังกาบดูด้วยกัน....
คุณยายอังกาบบอกว่า "ฤดูหนาว ในคืนเดือนมืดฟ้าโปร่ง  จะมีดาวมากมาย แล้วเราก็จะเห็นดาวตกมากด้วย เราจะคอยเฝ้าดูดาวตกด้วยกัน...

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

บ้านไม้ชายทุ่ง

ท่านผู้อ่าน จะได้พบกับเรื่องราวชีวิต ของบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้านไม้ชั้นเดียว
ที่ตั้งอยู่ที่ชายทุ่งนา ...สงบ ธรรมชาติสวยงาม ท้องทุ่งนาอันมีคุณค่าทางทรัพยากร...
จะมีเรื่องราวอันน่าติดตาม อย่างไร ....

ผู้เขียนหวังว่า ท่านอาจจะได้แนวคิด ในบางสิ่ง จากเรืองนี้ พอสมควร..

                                            ต้อย มีนบุรี ผู้เขียน

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไอ้สับปะรด(ต่อ)

สับปะรดได้เรียนหนังสือ และอาศัยอยู่ที่วัดจนกระทั่งเขาจบการศึกษาภาคบังคับซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า ชั้นประถมศึกษาปีที่ 7
เขาไม่ได้เรียนต่อในโรงเรียนอีก แต่เขายังทำงานรับจ้างทำทุกอย่างแล้วแต่ใครจะจ้างเขา แต่งานประจำของเขาคือ รับอาสาไปซื้อของให้ในตลาด
แรก ๆ เขาใช้วิธีเดินบ้าง ขึ้นรถโดยสารประจำที่วิ่งในหมู่บ้านบ้าง แต่เมื่อเขาเก็บหอมรอบริมเงินได้บ้าง เขาก็นำเงินไปซื้อจักรยาน ตอนเช้าเขาจะขี่จักรยานคู่ชีพและสั่นกระดิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อเรียกให้คนได้ยินเสียงและเตรียมตัวออกมาเรียกใช้เขาตามความประสงค์ เมื่อเสร็จภาระกิจแล้ว เขาก็จะเข้าไปที่วัด และช่วยงานวัดต่อไป
สับประรดได้เรียนต่อภาคการศึกษาผู้ใหญ่ จนจบการศึกษาได้ระดับหนึ่งเขาก็ยังมีอาชีพรับจ้างทำงานทั่วไป จนกระทั่ง.......
ที่ศาลากลางจังหวัด ได้ประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งนักการภารโรง
มีคนที่ทำงานในศาลากลางเห็นว่า สับปะรดเป็นคนขยัน เขาจึงสนับสนุนให้สับปะรดได้ทำงานตามต้องการ เขาได้ทำงานได้ค่าแรงในอัตราลุกจ้าง
ชั่วคราว เขาทำงานไป และเข้าห้องเรียนในวันหยุด และก็ยังรับจ้างงานเดิมเมื่อเขาว่างในวันหยุด กลางวันทำงาน กลางคืนเขาก็ท่องอ่านหนังสือ
จนเขาจบการศึกษาผู้ใหญ่ได้อีกระดับหนึ่ง
หลังจากจบการศึกษาเขาก็เปลี่ยนงานด้วยเห็นว่า งานใหม่น่าจะยั่งยืนมั่นคงกว่างานเดิม เขาไม่ได้เป็นนักการภารโรงแล้ว แต่เขาทำงานในหน่วยงานที่รับส่งเอกสาร และเป็นหน่วยงานราชการ  เขาทำงานด้วยความขยันขันแข็ง และไม่ทิ้งการเรียน เขาเรียนระดับมหาวิทยาลัยวุฒิปริญญาตรี เขาได้เลื่อนระดับการทำงานสูงขึ้นเมื่อเขาเข้าสอบเป็นการภายในปรับวุฒิการศึกษาสูงขึ้นด้วยปริญญาตรี สาขาด้านกฏหมาย และเขาก็ยังศึกษาต่อ.......

“ฉันชอบการดำเนินชีวิตของคุณนะ สับปะรด ฉันจะขอจดจำเรื่องราวของคุณไว้สอนลูกหลานในเรื่องความขยันอดทน ใฝ่ดี พยายามหาความรู้ใส่ตัวของคุณ”  ฉันบอกกับสับปะรด ในวันที่ฉันและเพื่อนเลี้ยงส่งเขา ด้วยเขาจะลาออกหน่วยงานที่ฉันและเขาทำงานอยู่
“ยินดีครับ ถ้าเรื่องราวของผมน่าสนใจ ผมก็ภูมิใจนะ หากจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครบางคนได้คิดถึง  เราคงได้พบกันอีกนะครับ แต่ระยะแรก ๆ เขาให้ผมเข้าอบรม ประมาณ 3 เดือน  ผมอาจไม่สะดวกในการพบกันนะครับ  หลังจากนั้นเราคงพบกันได้ในวันหยุด  ขอบคุณทุกคนสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้ ประทับใจครับ..”  สับปะรดกล่าวอำลา
หลังจากนั้นฉันไม่ได้พบกับเขาอีกเลย เวลาผ่านไปนาน จนหลายคนลืมว่าเคยมีเขาทำงานด้วย

แล้ววันหนึ่ง ก็มาถึง “ บ่ายวันนี้ มีคนมาขอพบ ผอ. ค่ะ  พวกพี่ ๆ รู้ไหมว่าใคร” เสียงเลขาหน้าห้อง ผอ. บอกเล่า  “จะเป็นใครหนอต้องคอยดู หนูก็ใจจรดจ่ออยากเห็นเขาจังเลย”  เธอทิ้งท้ายให้พวกฉันตื่นเต้น  ต้องเป็นใครสักคนที่พวกฉันต้องรู้จักแน่นอน
บ่ายวันนั้นก็มาถึง ชายร่างงามสูงสง่า เดินตามหลังเลขา ผอ. ตามด้วยหญิงสาวสวยอยู่ห่างพอสมควรถือแฟ้มเอกสารเดินตาม และผ่านมาทางฉันและเพื่อน และโปรยยิ้มตลอด “ นั่น....ไอ้ ..คุณสับปะรดนี่นา”  ฉันกระซิบบอกเพื่อนและมองตากัน.....
สับปะรดและเลขาเขากลับไปแล้วแต่เขายังทำให้ฉันและเพื่อน ๆ ตะลึง ในความเปลี่ยนแปลงของเขา เขางามสง่ามาก ๆ บุคลิกหน้าตาเสื้อผ้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่แต่งตัวง่าย ๆ ตามสบายเวลาทำงาน จนบางครั้งหัวหน้าเขาต้องเรียกไปตักเตือน กิริยาง่าย ๆ เวลานั่ง ยืนเดิน หรือแม้แต่เวลาที่เขากินอาหารในงานเลี้ยง สวนเสเฮฮากับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน วาจาที่เป็นแบบคนที่ใช้ชีวิตที่ต้องขับเคี่ยวอย่างเอาตัวรอด กับชีวิตเด็กวัด ตามที่เขาเคยเล่าว่า เขาต้องทำตัวแบบ "เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม และต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคม"

คงไม่มีอีกแล้ว ที่ใครๆ จะเรียกเขาว่า "ไอ้สับปะรด" ........”ท่านบอก ท่านติดธุระ ช่วงบ่าย 3 แต่นัดกับ ผอ.ไว้แล้วว่าจะมาเยี่ยมท่าน เลยต้องมาก่อนและก็คุยกันได้นิดหน่อย ต้องรีบไปตามนัดต่อ ท่านบอกว่า จะประจำอยู่ที่ กรุงเทพ สักระยะหนึ่ง แล้วจากนั้นคงไปรับราชการที่ บ้านเกิด ของท่านหรืออาจต้องเดินสายไปที่อื่น ๆ อีก...คราวหน้ามาอีก คงได้คุยกันนานกว่านี้ “  เลขาหน้าห้อง ผอ. เข้ามารายงาน

ณ สถานที่จัดงานแต่งงานแห่งหนึ่ง เมื่อได้เวลาอันสมควร พิธีกรก็ขึ้นเวที "สวัสดีครับผู้มีเกียรติทุกท่าน... ผมขอเรียนเชิญท่าน ปราณบุรี ขึ้นมาเป็นเกียรติมอบมาลัยให้คู่บ่าวสาวและกล่าวคำอวยพรด้วยครับ..." เสียงเพลงบรรเลง
ทุกคนยืนขึ้นและหันหน้าไปทางเวที ชายร่างสูงงามสง่า แต่งกายด้วยสูทหรูเรียบ สีเทาอ่อน กำลังเดินขึ้นเวที นั่น ไอ้...คุณสับปะรดนี่นา  ฉันและเพื่อนหันมาสบตากัน..
หลังจากสวมมาลัยให้คู่บ่าวสาวแล้ว....
"สวัสดีครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ได้รับเชิญ ให้ขึ้นมากล่าวคำอวยพร
คงไม่ต้องพูดอะไรมากนะครับ ผมและเจ้าบ่าวเป็นคนบ้านเดียวกัน ผมยอมรับว่าเจ้าบ่าวเป็นคนดี ขอให้ทั้งสองครองรักกันยั่งยืนตลอดไป "
เสียเพลงบรรเลงขึ้นอีก พร้อมกับเสียงแขกที่มาร่วมงานกล่าว "ไชโย ๆ ๆ " ดังขึ้นพร้อมกัน

ฉัรู้สึกประทับใจ สับปะรดมาก เขาขยัน อดทน พากเพียรพยายาม จนประสบความสำเร็จกับหน้าที่การงานอันสูงส่ง ยากที่ผู้ใดจะทำได้ดีอย่างเขา
อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีการปลูกสับปะรดมาก

ท่าน"ปราณบุรี" บุคคลตัวอย่างของฉัน

..........................................................................................